"สมัยก่อนเราต้องดูเทรนด์ดูคนอื่นบ้าง ดูแมกกาซีน ทีวี ดูจากหลายๆ ที่ ก็สนุกไปตามรูปแบบของมัน แต่หลังๆ จะเอาที่ชอบเอาของใกล้มือ เพราะเริ่มมีทักษะในการแต่งแล้วมันโอเค หรือบางทีไม่โอเคมั่นใจไปคนอื่นไม่ค่อยสงสัยว่าเราพลาด"
พี่ปูเป็นคนสนุกกับการแต่งตัว
- เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาไปเดินสวนจตุจักรไปเดินหาของเอาท์ที่เค้าไม่ค่อยเอาแล้ว แต่เชื่อว่าเราใส่ของเราได้ กางเกงแบบนี้ไม่ใส่กันใช่มั้ยเหลือตัวละร้อยสองร้อยก็ชอบซื้อ ชอบซื้อของที่ชาวบ้านไม่ค่อยอิน เพราะของที่อินจะแพงมาก เราชอบใส่กางเกงวอร์มใส่มาเป็น 10 ปี กางเกงวอร์ม Adidas 3 ขีดนี่แหละ ตอนนั้นตัวละสองร้อย หลังๆ ขายแพงมากเลยเลิกใส่ แต่มีบ้างนะที่เจอเซ็ทสวยๆ ซื้อเก็บไว้ ชอบคำที่ดีไซเนอร์ของแบรนด์นึงเคยพูดเอาไว้ มีคนไปถามว่าอยากรู้ว่าเทรนด์ในการออกแบบของคุณคืออะไร เค้าบอกว่าผมไม่มีเทรนด์ สิ่งที่ผมออกแบบจะกลายเป็นเทรนด์ ผมไม่ศึกษาไม่ดู แล้วเราชอบมาก ตอนทำแมกกาซีนเราไม่ใช้เรฟเฟอเร้นท์แมกกาซีน เพราะมันอยู่ในโลกแมกกาซีน ถึงทำก็อาจจะไม่ดีเท่าเค้าเพราะเราไปดู ฉะนั้นเราจะใช้ศาสตร์อย่างอื่นเพื่อทำงาน ไม่จำเป็นต้องศึกษาในกรอบนั้นอย่างเดียว
ย่านช้อปปิ้งของพี่ปู
- สมัยก่อนจะเป็นจตุจักร จตุจักรไม่ได้มีแค่ของมีเพื่อนมีสไตล์มีวัฒนธรรมบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น เดินไปก็เจอคนรู้จักทักทายกัน มันสนุกมาก เหมือนมีจุดนัดพบที่เราไม่ต้องนัด เดี๋ยวก็เจอคนรู้จัก จตุจักรเป็นจุดกำเนิดชีวิตเราเลยนะ เราเคยเปิดร้านขายเสื้อผ้าสมัยเรียน จากตอนนั้นมาก็ติด ไม่ได้ไปนานๆ นี่คิดถึงนะ จตุจักรเป็นอะไรไม่รู้แต่พอไม่ได้ไปนานๆ คิดถึง มันเป็นแรงบันดาลใจ แต่หลังๆ โลกกว้างมากขึ้นเราไปทุกที่ โรงเกลือก็ไป ออนไลน์ก็ช้อป ห้างก็ไป เพราะมันเริ่มกระจายหลายที่แล้วเราเริ่มมีกำลัง

ชิ้นที่ซื้อบ่อยที่สุด
- จริงๆ แยกเป็นชิ้นๆ ไม่ได้หรอก อย่างหมวก 10 กว่าปีมาแล้ว เราใส่หมวกทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ใส่หมวก รองเท้าไม่ได้เป็นนักสะสมนะแต่ซื้อมาเพื่อใส่ แจ็คเกต เสื้อยืดซื้อน้อยเพราะใส่อะไรก็ได้ หลังๆ เริ่มมีบูทเพราะขี่มอเตอร์ไซค์ แอคเซสโซรี่เครื่องเงินก็ชอบ ส่วนนาฬิกาใส่อยู่เรือนเดียวครับ
เวลาแต่งตัวดูรวมๆ แล้วต้องโอเค
- มันเป็นยิ้มแรกเป็นความสุขแรกของเราก่อนออกจากบ้าน นึกถึงเวลาที่เราอารมณ์ไม่ดีหมองๆ การแต่งตัวไม่สนุกเลย แล้วเวลาแต่งตัวไม่โอเคอยากกลับบ้าน ไม่อยากไปไหนใครชวนไปงานสำคัญกูไม่อยากไป เคยไม่ไปงานแต่งงานเพื่อนเพราะหาชุดไม่ได้ เป็นคนซีเรียสเรื่องการแต่งตัว ยิ่งยุคนี้มีกล้องกูมีความสุขของกูก็ได้ ชุดนี้ถ่ายซะหน่อย จริงๆ เป็นที่มาของการทำหนังสือชีส อยากถ่ายตัวเองเก็บไว้ทุกวันวันละชุดแล้วแปะให้เต็มผนัง บางทีลืมไปแล้วว่าชุดไหนแมทช์กับชุดไหน แฟชั่นคือศาสตร์ ศาสตร์เดียวกับการมิกซ์แอนด์แมตช์ การวาดรูป งานออกแบบทั่วๆ ไป มันเป็นการฝึกความลงตัว ฝึกความแหกคอก แล้วยิ่งแฟชั่นยุคนี้ไม่มีกฎ ใครบอกสีตรงข้ามใส่ด้วยกันไม่ได้ไม่มีแล้ว เสื้อสามแขนยังมีเลยถูกมั้ย บนโลกนี้สนุกตรงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่แค่นั้นเอง
แบรนด์ที่ทำให้เสียเงินอยู่บ่อยๆ
- ไม่ค่อยได้กินเงินเรา ส่วนใหญ่เค้าชอบให้ฟรี เราชอบใส่ของมือสองของวินเทจ แต่มันก็โผล่มาเป็นแบรนด์เป็นอะไรบ้าง จริงๆ ชอบเป็นไอเท็มากกว่า อย่าง Nike กับ Adidas ถ้าเสื้อผ้าชอบ Adidas รองเท้าชอบ Nike ถ้าต้องใช้เดินเยอะๆ สำหรับเรานะ Airmax จะเข้ากับเท้าเรา รองเท้าที่ติดอีกแบรนด์นึงคือ Dr. Martens เป็นรองเท้าที่ใส่ตั้งแต่เรียนมหาลัย คู่แรกเพื่อนไปอังกฤษแล้วฝากซื้อ โห่… คนอาจจะตายไปแล้วแต่พื้นยังไม่สึกเลย มันทำด้วยอะไรไม่รู้ Dr. Martens เป็นรองเท้าที่พื้นไม่เคยหลุด เดินสบาย สุดยอดแล้ว คำว่าแบรนด์สำหรับเราไม่มีแบรนด์พรี่เมี่ยมที่เราชื่นชอบ อาจจะเป็นเพราะเริ่มต้นเราไม่มีกำลังซื้อ แต่ถึงหลังๆ เรามีกำลังซื้อก็ไม่ใช่วัยที่จะวิ่งตาม นอกจากเล็กๆ น้อยๆ อย่างกระเป๋าคาดอกคาดเอว หรือกระเป๋าตังค์
พี่ปูกับของมือสอง
- ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ไม่มีของใหม่ที่รู้สึกว่าคือเรา เน้นสิ่งที่อยากได้มากกว่า อาจจะเป็นผู้ชายตลาดนัด เราชอบมากนะตลาดนัดต่างจังหวัดที่มีพวกเต้นท์ขายของเชยๆ แล้วชอบได้ไอเท็มที่มีแบบนี้ด้วยเหรอ ชอบความท้าทายตรงซื้อของถูกพอเอามาใส่แล้วดูดี มันชนะ คนยุคเราอาจจะแข่งกันด้วยราคาถูกมากกว่า ไม่ใช่เด็กยุคใหม่ที่แข่งกันใส่ราคาเรือนแสน มอเตอร์ไซค์ได้คันนึงเลยนะที่เด็กแต่งกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้ายังเป็นเด็กเราอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ทุกวันนี้ซื้อของแพงเราไม่กล้าบอกเพื่อน แต่ถ้ามันร้อยเดียวเอง อันนี้น่าภูมิใจ เพราะเราทำงาน เรานับเลยว่ากว่าจะได้เงินพันนึงใช้เวลากี่ชั่วโมง สมมุติว่ามีเงินเดือนซัก 30,000 วันนึงมีรายได้พันนึง การซื้อของราคา 3,000 ทำงานสามวันเหนื่อยมากนะแล้วหายไปในพริบตา จะเริ่มขี้เหนียวขึ้น บางอย่างไม่ต้องถึง 30,000 ใช้ 3,000 ก็หาได้
ชีวิตต้องมีกิเลศ
- กิเลสคือแพชชั่นนะ ถ้าไม่มีกิเลศก็ไม่อยากลุกขึ้น ไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมีกิเลศแแบบนั้น แต่กิเลสทำให้เราเดินทาง เราต้องเดินทางเสาะแสวงหาสร้างนู้นสร้างนี่ขึ้นมา เรามีความรู้สึกว่ากิเลสมีประโยชน์ ทุกๆ เรื่องถ้ามองในแง่ดีก็มีจุดที่สมดุลย์ของมัน หลงเรามองว่าถ้าไม่มากเกินไปมันเป็นแพชชั่น จริงๆ เราก็หลงมอเตอร์ไซค์หักปักหัวปำ หลงการแต่งตัว ลุ่มหลงไปเรื่อยๆ มันไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นนะเดือดร้อนแค่กระเป๋าตัวเอง ถ้าล้มขึ้นมาก็เดือดร้อนร่างกายตัวเอง

วิธีการสร้างแรงบันดาลใจของพี่ปู
- ดูตลก เราเป็นคนติดตลก เชื่อว่าเสียงหัวเราะทำให้ร่างกายสดชื่นทำให้สมองไบรท์ เชื่อมั่นแบบนี้มาตลอดเลย วงการตลกมีพระคุณต่อเราทางอ้อม เวลาปวดหัวอยู่นี่หายเลยนะ ลองใครปวดไมเกรนเยอะๆ ดูตลกสิ จริงๆ ได้หัวเราะก่อนนอนจะหลับสบายมาก เราใช้วิธีสองอย่างคือช้อปปิ้งกับดูตลกบำบัดจิต รู้สึกว่านี่คือแรงบันดาลใจ ทำให้สมองดี เวลาเปล่งเสียงหัวเราะสารเคมีบางอย่างจะถูกหลั่งออกมาในสมองในร่างกาย เราว่ามันคือความสุขคือบวก
ความสุขที่เกิดจากการแต่งตัว
- ชอบอะไรก็ทำ ต่างคนต่างชอบศรัทธาในเส้นทางของตัวเอง แต่งอะไรก็ได้ บนโลกนี้แฟชั่นไม่ได้เรียงลำดับสูงไปต่ำ ต่ำไปสูง เราวางขนานกัน เพราะฉะนั้นเราเท่ากัน แฟชั่นแต่ละคนเท่ากัน ถ้าชอบแล้วมีความสุขค่าเท่ากัน ราคาไม่เกี่ยว

ผู้ชายที่ชื่อ จิรัฏฐ์ พรพนิตพันธุ์
- ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราแค่ทำ แต่ผลมาจากสิ่งที่คนอื่นประเมินให้เรา เราเป็นนักเขียน เราเป็นแบบนี้ แต่จริงๆ ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้นเราแค่อยากทำมันเท่านั้นเอง เราเป็นคนไม่กลัวที่จะทำอะไร เพราะคิดว่าไม่น่าจะตายอาจจะเจ๊งแต่ไม่ตาย แค่นั้นเอง
“เริ่มต้นจากความอยาก อยากแต่งบ้านโดย ไม่มีประสบการณ์ แค่อยากรู้ว่าถ้ามีบ้านแบบ นี้เราจะชอบ เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้จะเป็น ลูกผสมที่ออกมาจากตัวเรา อาจจะไม่ได้ สวยงามแต่เป็นบ้านที่เราชอบ ทุกๆ มุมเราใช้ งานมันได้ เป็นคนชอบไม้ ชอบสีของเนื้อไม้ จริงๆ ชอบปูนดิบ ชอบกระจก และชอบสีขาว เราค่อยๆ จัดการทีละส่วน มีช่างคอยรับคำสั่ง จากสิ่งที่เราต้องการแล้วไปทำ แก้บ้างไม่แก้ บ้างแต่ละจุด ย้ายนู้นย้ายนี่ไปเรื่อยๆ มันเป็น งานคัสตอมบ้านทั่วไปเป็นงาน DIY เห็นอะไร สวยก็อยากจะเอามาไว้ในบ้าน เอามาไว้ซักพัก ถ้าไม่ใช่ก็เอาออกไป เราได้ทดลองการแต่ง บ้านไปเรื่อยๆ”
แต่งบ้านให้เหมือนแต่งตัว
- เราว่าเหมือนกันนะ มีของเยอะเยะเลยที่ซื้อมาแล้วเหลือไม่ได้ใช้งาน เหมือนอะไหล่รถที่วาง กองกันอยู่ อะไหล่ของบ้านก็เต็มไปหมด ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ มา พอถึงเวลาจริงๆ ต้องขนเอา ไปทิ้ง ให้คนอื่นไปบ้าง หรือขายต่อบ้าง มีพลาดเป็นเรื่องธรรมดา เคยเจอของที่คิดว่าเป็นของเจ๋ง ที่แท้ของโหลก็มีนะ แต่มันได้แพชชั่นในการเดินตามหาของ
ตัวตนที่ถูกสะท้อนอยู่ในทุกอณูของพื้นที่แห่งนี้
- บ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาจากสิ่งที่เราใช้งานมัน เมื่อก่อนเคยมีคอนโดฯ สวยๆ อยู่ห้องนึง สวยเหมือนถอดแบบออกมาจากแมกกาซีนแต่ไม่ได้ใช้งาน เราเซ็ทเพื่ออยากให้ห้องสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้เลยดีไซน์มาจากประสบการณ์ ไม่เอาความสวยแล้วเอาความอยู่ได้ ที่นี่จะไม่มีครัวไม่มีเตา เพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร เราดื่มแค่กาแฟเลยมีแค่เครื่องทำกาแฟแค่นั้น อะไรที่ไม่ได้ใช้ก็เอาออกจากบ้านไม่เอาเข้ามาใส่ ชอบต้นไม้แต่ไม่รู้ว่าอยู่ข้างในได้รึเปล่าก็เอาเข้ามาก่อน ถ้าอยู่ไม่ได้เราจะได้เรียรู้ว่ามันตายต้องเอาไปไว้ตรงไหน ชอบไม้ กระจก ปูนดิบก็มารวมๆ กัน เหมือนแฟนสวยของเรา เรารักของเรา จริงๆ ฟังก์ชั่นอาจจะดูงงๆ อย่างโต๊ะกินข้าวที่มีของมาวางเต็มไปหมด เราไม่ได้ใช้กินข้าวตรงนี้ใช้นั่งทำงาน เวลาประชุมเราใช้สเปซแค่นี้แหละ แต่แม่มางงนะ นี่โต๊ะกินข้าวเหรอ ก็กินคนเดียวไงต้องใช้สเปซอะไร บางทีก็นั่งตรงเคาท์เตอร์ชอบนั่งตรงเคาท์เตอร์มากกว่า
ฟังก์ชั่นและความชอบที่ถูกผสมสานรวมอยู่ด้วยกัน
- มันคือรสนิยมแบบของเรา แต่บางช่วงก็ไม่เหมือนกันนะ ช่วงที่เห่อบางเรื่องพอเวลาผ่านไปเรื่องที่เห่อเลิกก็โดนเอาออกไป มีบางช่วงเห่อหนังเอาหนังเป็นผืนๆ มาคลุมนู้นคลุมนี่ สวย พอผ่านไปซักปีเบื่อก็เก็บม้วนๆ เอาไปให้คนอื่น บ้านก็มีฤดูกาลของมันเหมือนการแต่งตัวแหละมีซีซั่น บ้านซัมเมอร์ควรจะมีสีหน่อยใช่มั้ย ส่วนบ้านหน้าหนาวก็เป็นอีกแบบ ผ้าห่มเรายังเปลี่ยนเลย ผ้าห่มหน้าหนาวกับหน้าร้อนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจมัน ทุกคนก็แต่งบ้านได้
มุมโปรด
- มีอยู่สองมุมคือมมุมตรงโต๊ะกินข้าวที่มองเห็นทุกอย่างกว้างๆ ได้ทำงาน ได้นอนเล่น แล้วเราเอาสิ่งที่เราชอบมาไว้ตรงนี้ ส่วนมุมที่สองเป็นมุมดูดวิญญาณมุมดูทีวี ถ้าวันไหนอยากดูทีวีเปิดทีวีดูหาของกินนอนเล่นอยู่ตรงนั้น บางทีกลับบ้านมาถ้าอยากนอนข้างล่างก็นอนข้างล่างนะไม่ขึ้นข้างบน อยากนอนอยู่ตรงนั้นแล้วมันเป็นโซฟาที่นุ่มมาก
บ้านที่รายล้อมไปด้วยของที่ชอบและสะสม
- เมื่อก่อนเป็นมนุษย์ดูดีวิดีดูหนังก็กองกันอยู่เต็มไปหมด รองเท้าจริงๆ เอาออกไปเยอะแล้ว เราไม่ได้เป็นนักสะสมนะ แต่เป็นคนซื้อของเยอะ เยอะหมายถึงว่าถ้าเห็นสองสีแล้วไม่มั่นใจว่าสีไหนดีกว่า กูเอาหมดสองสีจะเป็นแบบนั้น เวลาขี่มอเตอร์ไซค์บางทีพกถุงสองมือสองคู่สีน้ำตาลกับสีดำ ไม่รู้ว่าอันไหนจะดีกว่า ชอบคิดว่ามีกล้องอยู่ตลอดเวลา ใครเห็นกูต้องดูดี อาจจะเป็นคนแคร์เรื่องแบบนี้ ต้องดูดีไว้ก่อน เมื่อก่อนพกหมวกกันน็อคสองใบด้วยแบบเปิดหน้ากับเต็มใบ เวลาอยากขี่ชิลๆ ก็เปิดหน้าอยากขี่เร็วๆ ก็ใส่เต็มใบไป ถึงต้องมีรถหลายคันเพราะขี่ไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองก็ได้นะ แต่คนเราเวลามีความสุขกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราว่ามันจะหลั่งสารอะไรที่เป็นประโยชน์กับชีวิต สมองจะดีเป็นพิเศษ ตื่นเต้น อยากทำนู้นทำนี่ มันมีความยินดีที่จะอยู่บนโลกใบนี้ต่อ อยากคิดงาน เราได้เงินจากการมีความสุขกับของพวกนี้แล้วเอาไปทำงานได้เงินเยอะกว่าหลายเท่าเลยไม่คิดว่าเป็นสิ่งสิ้นเปลือง แต่เป็นการบำรุงจิตเป็นสุนทรียะ เหมือนคนได้กินอาหารที่ชอบ เวลาไปคิดงานเราว่าสมองมันโอเค บางคนอาจจะนั่งสมาธิรีสตาร์ทตัวเองใหม่ แต่ของเราคือการขี่มอเตอร์ไซค์ ช้อปปิ้งแต่งตัว