X
GIVI EXPLORER
Nikkasit Wongsawas
Motographer ขับ-ถ่าย
“การเดินทางครั้งสำคัญของ Nikkasit Motographer หนึ่งเดียวของไทย ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมการเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยที่ประเทศ Morocco จัดโดย GIVI EXPLORER ที่มีนักเดินทางมาจากทั่วโลกด้วยมอเตอร์ไซค์ 29 คัน รถสนับสนุน Convoy อีก 3 คน และ 43 ชีวิต หนึ่งในนั้นคือคุณโจ นิกสิทธิ์ วงศ์สวัสดิ์ ช่างภาพนักเดินทางที่ใช้ชื่อว่า Motographer และเค้าคือผู้ก่อตั้งกลุ่ม Thailand Motographer เส้นทางของ Motographer ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2007 และนี่คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย กับหน้าที่ที่ได้รับสำหรับช่างภาพคนไทยที่ทำหน้าที่นี้เพียงคนเดียวตลอด 10 วัน”การเดินทางเริ่มต้นวันเสาร์ที่ 10
No Photo !!
วันแรกเราเดินทางจาก Casablanca ไปยังเมืองโบราณ Fez ระยะทาง 347 กม. เราใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงโดยมีความเร็วเฉลี่ย 60 กม./ชม. ผมใช้ KTM 1090 ADV ถนนกว้างสภาพถนนอย่างดี ยกเว้นฝูงแกะที่ถูกเลี้ยงเรียงรายตามไหล่ทาง บางช่วงเราต้องหยุดให้ฝูงแกะผ่านไปอย่างช้าๆ เราขี่ผ่านที่ราบลุ่มปกคลุมไปด้วยดินสีแดง และที่ดินที่ปลูกต้นมะกอกเรียงรายตลอดเส้นทาง การขี่รถในช่วงนี้ตื่นตาตื่นใจมาก อากาศกำลังดี
เมือง Fez เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศและก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 8 เป็นเมืองหลวงทางศาสนา และวัฒนธรรมของประเทศโมร็อกโก Medina of Fez ซึ่งเป็นเมืองเก่าภายในกำแพงโบราณซ่อนอยู่ในตรอกซอกซอยที่แคบกว่ามัสยิดขนาดเล็กและใหญ่จำนวนกว่า 800 แห่ง และร้านค้าและร้านอาหารเล็ก ๆ มากมาย รวมถึงแหล่งฟอกหนังที่ทำให้เราต้องตะลึงเพราะมันถูกซ่อนอยู่บนหลังคาโบราณ กลิ่นของเครื่องหนังยังติดจมูกไม่หาย ที่นี่ถือให้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี 2524
ประสบการณ์แรกของผมที่ทำให้การถ่ายภาพบุคคลต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง No Photo คือปฏิกิริยาที่ตอบสนองกลับมาในทุกครั้งที่เรายกกล้องขึ้นประทับแล้วกดชัตเตอร์ สุดท้ายผมก็เจอทางออก ถ้าเราอยากถ่ายใครก็ให้ขอเค้าตรงๆ ถ้าไม่ได้ก็ไปต่อ แต่ถ้าได้นั่นถือว่าเหมือนถูกหวย ภาพที่ออกมาก็จะเป็นธรรมชาติจนน่าหลงใหล
วันแรกเราเดินทางจาก Casablanca ไปยังเมืองโบราณ Fez ระยะทาง 347 กม. เราใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงโดยมีความเร็วเฉลี่ย 60 กม./ชม. ผมใช้ KTM 1090 ADV ถนนกว้างสภาพถนนอย่างดี ยกเว้นฝูงแกะที่ถูกเลี้ยงเรียงรายตามไหล่ทาง บางช่วงเราต้องหยุดให้ฝูงแกะผ่านไปอย่างช้าๆ เราขี่ผ่านที่ราบลุ่มปกคลุมไปด้วยดินสีแดง และที่ดินที่ปลูกต้นมะกอกเรียงรายตลอดเส้นทาง การขี่รถในช่วงนี้ตื่นตาตื่นใจมาก อากาศกำลังดี
เมือง Fez เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศและก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 8 เป็นเมืองหลวงทางศาสนา และวัฒนธรรมของประเทศโมร็อกโก Medina of Fez ซึ่งเป็นเมืองเก่าภายในกำแพงโบราณซ่อนอยู่ในตรอกซอกซอยที่แคบกว่ามัสยิดขนาดเล็กและใหญ่จำนวนกว่า 800 แห่ง และร้านค้าและร้านอาหารเล็ก ๆ มากมาย รวมถึงแหล่งฟอกหนังที่ทำให้เราต้องตะลึงเพราะมันถูกซ่อนอยู่บนหลังคาโบราณ กลิ่นของเครื่องหนังยังติดจมูกไม่หาย ที่นี่ถือให้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี 2524
ประสบการณ์แรกของผมที่ทำให้การถ่ายภาพบุคคลต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง No Photo คือปฏิกิริยาที่ตอบสนองกลับมาในทุกครั้งที่เรายกกล้องขึ้นประทับแล้วกดชัตเตอร์ สุดท้ายผมก็เจอทางออก ถ้าเราอยากถ่ายใครก็ให้ขอเค้าตรงๆ ถ้าไม่ได้ก็ไปต่อ แต่ถ้าได้นั่นถือว่าเหมือนถูกหวย ภาพที่ออกมาก็จะเป็นธรรมชาติจนน่าหลงใหล
ต้นสนพันปี ทุ่งหญ้า ม้าแกลบ และโอเอซิส
วันที่ 11 เราออกจากเมือง Fez มุ่งหน้าสู่เทือกเขา Atlas ระหว่างเส้นทางเราได้ขี่ผ่านภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระดับความสูง จากทุ่งหญ้ามุ่งสู่ป่าสน เมื่อผ่านทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาเราก็เห็นแนวของหิมะที่ด้านบนสุดของเทือกเขา เราได้ไปเยือนกลุ่มลิงที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ “ต้นสนซีดาร์” มีอายุหลายพันปีใน Parc National D’Ifrane ใกล้กับเมือง Azrou จากความสูง 2,192 เมตรทะเลทรายซาฮารารอเราอยู่ เราขี่ผ่านทะเลสาบ และภูเขาสีน้ำเงินเป็นภาพที่น่าตื่นตาจนผมต้องร้องว้าว! ในหมวกกันน็อค มีบางอย่างกำลังจะบอกเราว่าทะเลทรายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ทุกๆ วินาที ลมที่รุนแรงได้ตีเอาสีข้างของรถถลาออกนอกเส้นทาง ความแห้งค่อยดุดันขึ้นมาเรื่อยๆ เราเริ่มเห็นต้นปาล์มที่ด้านล่างของหุบเขา Ziz Valley มันคือภาพจำของโอเอซิสนั่นเอง ระหว่างทางผมได้แวะถ่ายภาพตามจุดที่ต้องการ ผมเห็นฝูงม้าแกลบที่ชนเผ่าเอาไว้ใช้งาน มันทำให้ผมนึกถึงเจ้าลูกชาย ที่ตอนนี้กำลังหัดขี่ม้าด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความรัก การถ่ายภาพในแต่ละจุด ผมจะวางแผนกับทีมสเปนที่เป็นมาแชลอย่างรัดกุม
ผมได้พบเด็กๆ พื้นเมืองระหว่างหุบเขากันดาร และได้ภาพบุคคลของเด็กๆ ที่นั่นผมได้มอบน้ำดื่มและขนมเล็กน้อยให้กับเด็กๆ แสงสุดท้ายได้ลับขอบฟ้าไปแล้วเรากำลังมุ่งหน้าไปยัง Arfoud เป็นเมืองที่สร้างขึ้นรอบๆ โอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลทรายซาฮารา คืนนั้นเรานอนพักด้วยความเหนื่อยล้า เสียงของทะเลทรายดังมาแต่ไกล ฝันของผมใกล้จะเป็นจริง
วันที่ 11 เราออกจากเมือง Fez มุ่งหน้าสู่เทือกเขา Atlas ระหว่างเส้นทางเราได้ขี่ผ่านภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระดับความสูง จากทุ่งหญ้ามุ่งสู่ป่าสน เมื่อผ่านทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาเราก็เห็นแนวของหิมะที่ด้านบนสุดของเทือกเขา เราได้ไปเยือนกลุ่มลิงที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ “ต้นสนซีดาร์” มีอายุหลายพันปีใน Parc National D’Ifrane ใกล้กับเมือง Azrou จากความสูง 2,192 เมตรทะเลทรายซาฮารารอเราอยู่ เราขี่ผ่านทะเลสาบ และภูเขาสีน้ำเงินเป็นภาพที่น่าตื่นตาจนผมต้องร้องว้าว! ในหมวกกันน็อค มีบางอย่างกำลังจะบอกเราว่าทะเลทรายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ทุกๆ วินาที ลมที่รุนแรงได้ตีเอาสีข้างของรถถลาออกนอกเส้นทาง ความแห้งค่อยดุดันขึ้นมาเรื่อยๆ เราเริ่มเห็นต้นปาล์มที่ด้านล่างของหุบเขา Ziz Valley มันคือภาพจำของโอเอซิสนั่นเอง ระหว่างทางผมได้แวะถ่ายภาพตามจุดที่ต้องการ ผมเห็นฝูงม้าแกลบที่ชนเผ่าเอาไว้ใช้งาน มันทำให้ผมนึกถึงเจ้าลูกชาย ที่ตอนนี้กำลังหัดขี่ม้าด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความรัก การถ่ายภาพในแต่ละจุด ผมจะวางแผนกับทีมสเปนที่เป็นมาแชลอย่างรัดกุม
ผมได้พบเด็กๆ พื้นเมืองระหว่างหุบเขากันดาร และได้ภาพบุคคลของเด็กๆ ที่นั่นผมได้มอบน้ำดื่มและขนมเล็กน้อยให้กับเด็กๆ แสงสุดท้ายได้ลับขอบฟ้าไปแล้วเรากำลังมุ่งหน้าไปยัง Arfoud เป็นเมืองที่สร้างขึ้นรอบๆ โอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลทรายซาฮารา คืนนั้นเรานอนพักด้วยความเหนื่อยล้า เสียงของทะเลทรายดังมาแต่ไกล ฝันของผมใกล้จะเป็นจริง
ตามหา Argan Oil ในเมืองแห่ง Fossil
เช้าวันที่ 12 เราตะเกียกตะกายตื่นเช้า สิ่งที่ผมอยากแวะชมมากที่สุดนั่นคือ Fossil Museum ที่นั่นผมได้ของฝากเจ้าลูกชาย เป็นฟันของปลาฉลาม และหนอนทะเล รวมไปถึงหิน Quarts Rose สำหรับภรรยา ผมได้ของที่ภรรยาสั่งนักสั่งหนาว่าต้องได้ Argan Oil ที่ตลาดใน Merzouga เป็นตลาดท้องถิ่นที่เราอยากไป แต่วันนั้นตลาดวายไปแล้ว หลงเหลือร้านรวงแค่ไม่กี่ร้าน ผมได้เกล็ดยูคาลิปตัสมาชงกับชาร้อนๆ แก้อาการคัดจมูกก็ที่นี้ เป็นเรื่องน่าขัน ที่เราทุกคนพยายามที่จะหาของฝากจากตลาดแห่งนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็กลับไปมือเปล่า ส่วนผมก็ได้ Argan Oil ติดมือกลับไปให้ภรรยาจนได้
หลังจากนั้นเราก็กลับไปทานอาหาร และเตรียมตัวเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮารา แน่นอนครับ ผมเก็บเอาความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว ทำเร่งรีบเตรียมอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำ ผมร้องขอกับทีมสเปนเพื่อประชุมเกี่ยวกับมุมกล้องและสถานการณ์ที่ผมต้องเจอ เราขี่รถผ่านหมู่บ้านและร้านค้า Fossil ที่เรียงรายไปด้วยต้นปาล์ม มีฉากหลังเวิ้งว้างของทะเลทรายไกลๆ
เช้าวันที่ 12 เราตะเกียกตะกายตื่นเช้า สิ่งที่ผมอยากแวะชมมากที่สุดนั่นคือ Fossil Museum ที่นั่นผมได้ของฝากเจ้าลูกชาย เป็นฟันของปลาฉลาม และหนอนทะเล รวมไปถึงหิน Quarts Rose สำหรับภรรยา ผมได้ของที่ภรรยาสั่งนักสั่งหนาว่าต้องได้ Argan Oil ที่ตลาดใน Merzouga เป็นตลาดท้องถิ่นที่เราอยากไป แต่วันนั้นตลาดวายไปแล้ว หลงเหลือร้านรวงแค่ไม่กี่ร้าน ผมได้เกล็ดยูคาลิปตัสมาชงกับชาร้อนๆ แก้อาการคัดจมูกก็ที่นี้ เป็นเรื่องน่าขัน ที่เราทุกคนพยายามที่จะหาของฝากจากตลาดแห่งนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็กลับไปมือเปล่า ส่วนผมก็ได้ Argan Oil ติดมือกลับไปให้ภรรยาจนได้
หลังจากนั้นเราก็กลับไปทานอาหาร และเตรียมตัวเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮารา แน่นอนครับ ผมเก็บเอาความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว ทำเร่งรีบเตรียมอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำ ผมร้องขอกับทีมสเปนเพื่อประชุมเกี่ยวกับมุมกล้องและสถานการณ์ที่ผมต้องเจอ เราขี่รถผ่านหมู่บ้านและร้านค้า Fossil ที่เรียงรายไปด้วยต้นปาล์ม มีฉากหลังเวิ้งว้างของทะเลทรายไกลๆ
มีเส้นทางระยะสั้นๆ ประมาณ 3 กิโลเมตรที่ผมไม่ขอขี่ เพราะกลัวพลาด เมื่อสามเดือนก่อนข้อเท้าของผมพึ่งหักไปจากอุบัติเหตุในการขี่รถ คราวนี้ไม่เสี่ยง ผมถอดเฝือกได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็ต้องเดินทางมาที่ Morocco ฉะนั้นผมจะไม่พลาดอีก
มีหลายคนที่ล้มไม่เป็นท่าระหว่างทางจากถนนหลักเข้าสู่ทะเลทราย บางคนก็อาการไม่ค่อยดี เรามาถึงชายขอบของทะเลทราย เราจะต้องถอดชุดขี่ออก เหลือแค่อุปกรณ์สำคัญ สำหรับผมมันคือกล้องถ่ายภาพและน้ำดื่มพอ ของทั้งหมดที่เหลือจะถูกขนส่งทางรถยนต์เข้าไป เราจะขี่อูฐหนอกเดียวหรือที่เรียกว่า Dromedary พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบทะเลทรายไกลๆ ผมเห็นต้นไม้บางชนิดที่กำลังต่อสู้กับความแห้งแล้ง และมันรอดผมเห็นมัน
เสียงของดนตรีจากชนเผ่าดังมาแต่ไกล การขี่ Dromedary เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมรั้งท้ายเพื่อที่จะได้เก็บภาพของฝูงอูฐ ขอบฟ้าที่เหลือแสงสีทองที่บางเบากำลังตัดกับสีม่วงของกลางคืนเอาไว้ ดาวระยิบระยับเริ่มส่องประกายให้เราเห็น ที่พักของชนเผ่า Berber มองเห็นไกลๆ คืนนี้เราจะนับดาวกันกลางทะเลทรายซาฮารา ในห้วงวินาทีที่ท้องฟ้ามืดสนิท บทเพลงของ Berber ได้ดิ่งเอาวิญญาณของผมไปวางไว้ที่ใจกลาง Sahara ที่นั่นเป็นเนินทรายสูง ทรายสีทองที่ถูกลมพัดเบาๆ มวลของทรายมีชีวิต ผมสัมผัสได้ว่าเธอมีชีวิต โดดเดี่ยวไกลแสนไกล คืนนั้นผมฝันถึงใครบางคนที่เดียวดายอยู่อย่างนั้นนับพันปี
มีหลายคนที่ล้มไม่เป็นท่าระหว่างทางจากถนนหลักเข้าสู่ทะเลทราย บางคนก็อาการไม่ค่อยดี เรามาถึงชายขอบของทะเลทราย เราจะต้องถอดชุดขี่ออก เหลือแค่อุปกรณ์สำคัญ สำหรับผมมันคือกล้องถ่ายภาพและน้ำดื่มพอ ของทั้งหมดที่เหลือจะถูกขนส่งทางรถยนต์เข้าไป เราจะขี่อูฐหนอกเดียวหรือที่เรียกว่า Dromedary พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบทะเลทรายไกลๆ ผมเห็นต้นไม้บางชนิดที่กำลังต่อสู้กับความแห้งแล้ง และมันรอดผมเห็นมัน
เสียงของดนตรีจากชนเผ่าดังมาแต่ไกล การขี่ Dromedary เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมรั้งท้ายเพื่อที่จะได้เก็บภาพของฝูงอูฐ ขอบฟ้าที่เหลือแสงสีทองที่บางเบากำลังตัดกับสีม่วงของกลางคืนเอาไว้ ดาวระยิบระยับเริ่มส่องประกายให้เราเห็น ที่พักของชนเผ่า Berber มองเห็นไกลๆ คืนนี้เราจะนับดาวกันกลางทะเลทรายซาฮารา ในห้วงวินาทีที่ท้องฟ้ามืดสนิท บทเพลงของ Berber ได้ดิ่งเอาวิญญาณของผมไปวางไว้ที่ใจกลาง Sahara ที่นั่นเป็นเนินทรายสูง ทรายสีทองที่ถูกลมพัดเบาๆ มวลของทรายมีชีวิต ผมสัมผัสได้ว่าเธอมีชีวิต โดดเดี่ยวไกลแสนไกล คืนนั้นผมฝันถึงใครบางคนที่เดียวดายอยู่อย่างนั้นนับพันปี
ฝนในหุบเขา และธารน้ำโบราณ
ภาพแรกที่ผมเห็นระหว่างที่ออกมาจากร้านอาหารมื้อเที่ยง คือฝนที่ตั้งเค้า เหล่านักเดินทางต่างสวมใส่ชุดกันฝนสีเขียวสะท้อนแสงรอ ผมเร่งรีบออกไปเพื่อไปดักรอบันทึกภาพ ที่นั่นคือโกรกธาร Todra Gorge ที่มีโขดผาสูง 985 ฟุตทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำทอดดราในโกรกธาร ถือว่าเป็นโกรกธารและโขดผาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมร็อกโก หลังจากลังเลหามุมอยู่นาน ผมก็เจอจุดที่จะบันทึกภาพ สิ่งที่ผมจะจดจำไปตลอดนั่นก็คือความสูงของผาที่ตั้งฉาก เราเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ล้อมเราเอาไว้ โกรกธารหินสีแดงงดงามเมื่อโดนแสงแดด มีเงาเป็นฉากหลัง เสียงของเครื่องยนต์กว่า 20 คันกำลังมุ่งหน้ามาทางทิศที่ผมดักรออยู่ ถึงเวลาจัดการกับบันทึกหน้าต่อไปของผมละ ที่เหลือคือเสียงของสายน้ำที่ไพเราะจับใจ
ภาพแรกที่ผมเห็นระหว่างที่ออกมาจากร้านอาหารมื้อเที่ยง คือฝนที่ตั้งเค้า เหล่านักเดินทางต่างสวมใส่ชุดกันฝนสีเขียวสะท้อนแสงรอ ผมเร่งรีบออกไปเพื่อไปดักรอบันทึกภาพ ที่นั่นคือโกรกธาร Todra Gorge ที่มีโขดผาสูง 985 ฟุตทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำทอดดราในโกรกธาร ถือว่าเป็นโกรกธารและโขดผาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมร็อกโก หลังจากลังเลหามุมอยู่นาน ผมก็เจอจุดที่จะบันทึกภาพ สิ่งที่ผมจะจดจำไปตลอดนั่นก็คือความสูงของผาที่ตั้งฉาก เราเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ล้อมเราเอาไว้ โกรกธารหินสีแดงงดงามเมื่อโดนแสงแดด มีเงาเป็นฉากหลัง เสียงของเครื่องยนต์กว่า 20 คันกำลังมุ่งหน้ามาทางทิศที่ผมดักรออยู่ ถึงเวลาจัดการกับบันทึกหน้าต่อไปของผมละ ที่เหลือคือเสียงของสายน้ำที่ไพเราะจับใจ
กาแฟเลิศรส กับถนนที่เหล่านักขี่ปรารถนาที่จะมาเยือน และเมืองมรดกโลก
ผมได้ลิ้มรสกาแฟพื้นเมืองที่ GORGES DU DADES M’semrir มันคือหนึ่งเส้นทางที่นักขี่จากทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง ถนนที่งดงามเหมือนในนิยาย เส้นทางที่คดเคี้ยวเป็นขั้นบันได ที่นั่นบางคนเรียกมันว่าถนนมังกรถือว่าเป็นหนึ่งในภูเขาที่น่าประทับใจที่สุดในโลก ที่นี่ตั้งอยู่ระหว่างโอเอซิส Boumalne Dades และหมู่บ้าน M’semrir ตามเทือกเขา Atlas อันแห้งแล้ง มีร้านอาหารอยู่ที่ยอดเขา เราแวะพักช่วงสั้นๆ เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขา และแม่น้ำ Dades เบื้องล่าง ตำแหน่งที่ผมถ่ายรูปคือ Hotel Timzillite
เช้านี้เราเจอกับพายุเต็มๆ เส้นทางบนภูเขาถูกปิด ฝนยังทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างมาก การรับมือกับสภาพอากาศหนาวเย็นทำให้อาการเจ็บข้อมือขวาของผมทวีคูณมากขึ้น หลังจากที่เรากลับลงมาจากหุบเขา เราก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออกของเทือกเขา Atlas ไปจนถึงวาร์ซาเซต สภาพของถนนน่าตื่นตาเช่นเคย กว้างสุดลูกหูลูกตา เราทำความเร็วกันเต็มที่ ถนนสายนี้ทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาทันที
ในที่สุดเราก็ไปถึง Ouarzazate เมืองเล็กๆ ศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เราพักกันที่ Atlas Studio ฉากของหนังหลายๆ เรื่องได้ถูกผลิตที่นี่ และเย็นนั้นเราได้ไปเยือนเมืองมรดกโลกนั่นคือ Ksar Aït Benhaddou มันคือสถานที่ที่ไม่น่าเชื่อ เพราะหมู่บ้านที่ว่าได้ปลูกสร้างด้วยโคลน และเต็มไปด้วยป้อม (ksar ในภาษาท้องถิ่น) ที่ทำจาก Adobe (โคลนแห้ง) ที่นี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มียุทธศาสตร์ เป็นเส้นทางคาราวานระหว่างทะเลทรายซาฮารา และมาราเกซ และภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ที่นี้ถ่ายทำเป็นหนังที่โด่งดังมากนั้นคือ “The Gladiator” ผมตั้งใจข้ามลำธารและเดินขึ้นเนินเพื่อเข้าชมพระราชวังดินที่มีภูเขาทั้งลูกรับโครงสร้างเอาไว้ แต่ละชั้นจะถูกแบ่งซอยเป็นห้องๆ ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ข้างบนสุดของเมืองเราจะเห็นภูมิทัศน์รอบด้านชัดเจน ห่างออกไปเกือบ 5 กิโลเมตร มันคือภูเขาต้นน้ำ แต่โชคร้ายที่มีความเค็มในระดับสูง ทำให้น้ำที่นี่ไม่เหมาะกับการเกษตรสักเท่าไหร่
ผมได้ลิ้มรสกาแฟพื้นเมืองที่ GORGES DU DADES M’semrir มันคือหนึ่งเส้นทางที่นักขี่จากทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง ถนนที่งดงามเหมือนในนิยาย เส้นทางที่คดเคี้ยวเป็นขั้นบันได ที่นั่นบางคนเรียกมันว่าถนนมังกรถือว่าเป็นหนึ่งในภูเขาที่น่าประทับใจที่สุดในโลก ที่นี่ตั้งอยู่ระหว่างโอเอซิส Boumalne Dades และหมู่บ้าน M’semrir ตามเทือกเขา Atlas อันแห้งแล้ง มีร้านอาหารอยู่ที่ยอดเขา เราแวะพักช่วงสั้นๆ เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขา และแม่น้ำ Dades เบื้องล่าง ตำแหน่งที่ผมถ่ายรูปคือ Hotel Timzillite
เช้านี้เราเจอกับพายุเต็มๆ เส้นทางบนภูเขาถูกปิด ฝนยังทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างมาก การรับมือกับสภาพอากาศหนาวเย็นทำให้อาการเจ็บข้อมือขวาของผมทวีคูณมากขึ้น หลังจากที่เรากลับลงมาจากหุบเขา เราก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออกของเทือกเขา Atlas ไปจนถึงวาร์ซาเซต สภาพของถนนน่าตื่นตาเช่นเคย กว้างสุดลูกหูลูกตา เราทำความเร็วกันเต็มที่ ถนนสายนี้ทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาทันที
ในที่สุดเราก็ไปถึง Ouarzazate เมืองเล็กๆ ศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เราพักกันที่ Atlas Studio ฉากของหนังหลายๆ เรื่องได้ถูกผลิตที่นี่ และเย็นนั้นเราได้ไปเยือนเมืองมรดกโลกนั่นคือ Ksar Aït Benhaddou มันคือสถานที่ที่ไม่น่าเชื่อ เพราะหมู่บ้านที่ว่าได้ปลูกสร้างด้วยโคลน และเต็มไปด้วยป้อม (ksar ในภาษาท้องถิ่น) ที่ทำจาก Adobe (โคลนแห้ง) ที่นี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มียุทธศาสตร์ เป็นเส้นทางคาราวานระหว่างทะเลทรายซาฮารา และมาราเกซ และภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ที่นี้ถ่ายทำเป็นหนังที่โด่งดังมากนั้นคือ “The Gladiator” ผมตั้งใจข้ามลำธารและเดินขึ้นเนินเพื่อเข้าชมพระราชวังดินที่มีภูเขาทั้งลูกรับโครงสร้างเอาไว้ แต่ละชั้นจะถูกแบ่งซอยเป็นห้องๆ ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ข้างบนสุดของเมืองเราจะเห็นภูมิทัศน์รอบด้านชัดเจน ห่างออกไปเกือบ 5 กิโลเมตร มันคือภูเขาต้นน้ำ แต่โชคร้ายที่มีความเค็มในระดับสูง ทำให้น้ำที่นี่ไม่เหมาะกับการเกษตรสักเท่าไหร่
หินศักดิ์สิทธิ์แห่งเทือกเขา Atlas และนักดนตรีเร่ร่อนแห่งมาราเกซ
เช้าวันที่ 15 เราเดินทางจาก Ouarzazate ไป Marrakech ระยะทางประมาณ194 กิโลเมตร เราขี่ขึ้นเขา Atlas ที่ระดับความสูง 2,209 เมตร ที่ยอดเขา Tichka ในใจกลางเทือกเขา Atlas ผมได้ของฝากชิ้นหนึ่งเป็นหิน Agate รูปไข่ ณ จุดนี้ผมยืนน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัว คำว่า Atlas คือแผนที่ที่เราใช้เรียนตอนเด็กๆ ไม่คิดว่าวันนึงเราจะมายืนอยู่ตรงนี้ ผมชอบอารมณ์ในตอนนั้นมาก ในขณะที่ผมต้องจัดการกับหน้าที่ที่ต้องบันทึกเรื่องราว และช่องว่างระหว่างการเดินทางนั้น ทำให้ผมได้เก็บเรื่องราวที่น่าจดจำเอาไว้ได้มากมาย อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ มาพร้อมกับลมที่พัดแรง ภูมิประเทศจากทุ่งโล่ง กลายมาเป็นเขาสูงชันเราใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงในครึ่งหลัง เนื่องจากความหนาวเย็น และการจราจรหนาแน่น และสภาพถนนที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ระหว่างทางเราจะเห็นชาวบ้านเอาหินประหลาดๆ ออกมาโบกรถให้จอดเพื่อขายหินเหล่านั้น อีกไม่นานเราก็เดินทางถึงมาราเกซ รางวัลของชีวิตคือการได้มาเยือน ได้มาเห็น และสัมผัสเรื่องราวมากมาย คืนนั้นผมก็ได้ท่องราตรีในตลาดใจกลางเมือง และเราก็ได้พบกับนักดนตรีเร่ร่อน ที่ส่งมอบบทเพลงที่มีเสน่ห์ จนผมต้องเอามาเป็นเพลงประกอบใน Vlog ที่ผมได้ตัดต่อขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องให้ได้อรรถรสที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
คืนนั้นผมหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เสียงเพลงแห่งทะเลทรายยังคงติดตามผมมาอีกครั้ง และในครั้งนี้ ผมเห็นหญิงสาวผมยาวในชุดสีม่วงไกลๆ เธอได้ขับกล่อมด้วยมนต์ตราแห่งผืนทะเลทราย มันคือบทเพลงแห่งบรรพกาล
“ทะเลทรายซาฮารา (Sahara Desert) เป็นทะเลทรายร้อน ที่กว้างใหญ่ที่สุดของแอฟริกาและของโลก แต่เป็นดินแดนแห้งแล้งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา Antarctica ที่ขั้วโลกใต้) คำว่า “Sahara” แปลว่า ทะเลทรายอันยิ่งใหญ่ The Great Desert”
เช้าวันที่ 15 เราเดินทางจาก Ouarzazate ไป Marrakech ระยะทางประมาณ194 กิโลเมตร เราขี่ขึ้นเขา Atlas ที่ระดับความสูง 2,209 เมตร ที่ยอดเขา Tichka ในใจกลางเทือกเขา Atlas ผมได้ของฝากชิ้นหนึ่งเป็นหิน Agate รูปไข่ ณ จุดนี้ผมยืนน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัว คำว่า Atlas คือแผนที่ที่เราใช้เรียนตอนเด็กๆ ไม่คิดว่าวันนึงเราจะมายืนอยู่ตรงนี้ ผมชอบอารมณ์ในตอนนั้นมาก ในขณะที่ผมต้องจัดการกับหน้าที่ที่ต้องบันทึกเรื่องราว และช่องว่างระหว่างการเดินทางนั้น ทำให้ผมได้เก็บเรื่องราวที่น่าจดจำเอาไว้ได้มากมาย อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ มาพร้อมกับลมที่พัดแรง ภูมิประเทศจากทุ่งโล่ง กลายมาเป็นเขาสูงชันเราใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงในครึ่งหลัง เนื่องจากความหนาวเย็น และการจราจรหนาแน่น และสภาพถนนที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ระหว่างทางเราจะเห็นชาวบ้านเอาหินประหลาดๆ ออกมาโบกรถให้จอดเพื่อขายหินเหล่านั้น อีกไม่นานเราก็เดินทางถึงมาราเกซ รางวัลของชีวิตคือการได้มาเยือน ได้มาเห็น และสัมผัสเรื่องราวมากมาย คืนนั้นผมก็ได้ท่องราตรีในตลาดใจกลางเมือง และเราก็ได้พบกับนักดนตรีเร่ร่อน ที่ส่งมอบบทเพลงที่มีเสน่ห์ จนผมต้องเอามาเป็นเพลงประกอบใน Vlog ที่ผมได้ตัดต่อขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องให้ได้อรรถรสที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
คืนนั้นผมหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เสียงเพลงแห่งทะเลทรายยังคงติดตามผมมาอีกครั้ง และในครั้งนี้ ผมเห็นหญิงสาวผมยาวในชุดสีม่วงไกลๆ เธอได้ขับกล่อมด้วยมนต์ตราแห่งผืนทะเลทราย มันคือบทเพลงแห่งบรรพกาล
“ทะเลทรายซาฮารา (Sahara Desert) เป็นทะเลทรายร้อน ที่กว้างใหญ่ที่สุดของแอฟริกาและของโลก แต่เป็นดินแดนแห้งแล้งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา Antarctica ที่ขั้วโลกใต้) คำว่า “Sahara” แปลว่า ทะเลทรายอันยิ่งใหญ่ The Great Desert”