
“อยู่ในระหว่างการจัดส่ง”

ถ่ายทอดมุมมอง “ระหว่าง” การเดินทาง และ “ระหว่าง” การสำรวจตัวตน ผ่านหลังเลนส์ของช่างภาพสาวรุ่นใหม่ 5 คน
“การใช้ชีวิตของเรา มันคือการที่เราอยู่ในระหว่างทางไปถึงเป้าหมายในหลายๆ Chapter เหมือนตัวเราเองอยู่ในระหว่างการจัดส่งไปสู่เป้าหมายอะไรบางอย่าง” ผ้าป่าน - สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ อธิบายถึงที่มาของชื่อนิทรรศการ “IN-TRANSIT อยู่ในระหว่างการจัดส่ง” นิทรรศการภาพถ่ายกลุ่มของช่างภาพสาวหน้าใหม่ 5 คน ประกอบด้วย จุฑารัตน์ ภิญโญดุลยเจต, กมลลักษณ์ สุขชัย, มินตรา วงค์บรรใจ, พัดชา กิจชัยเจริญ และวลัยรัตน์ ยุทธนาวราภรณ์ ที่กำลังจัดแสดงอยู่บนชั้น 2 ของ River City Bangkok โดยผ้าป่านรับหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ของงานนี้
“มันเกิดจากว่า ป่านมีคำถามหนึ่งที่ยังตอบโจทย์ให้ตัวเองไม่ได้ นั่นคือเราอยากไปเรียนเมืองนอก อยากใช้ชีวิตออกนอกพื้นที่ที่ไม่คุ้นชิน แต่กลายเป็นว่าเราก็ได้แต่ทำงานๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้ถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ถ้างั้นเราไปถามคนที่เคยไป เคยออกจากพื้นที่ของตัวเองมั้ยว่าเขาเจออะไร เกิดเป็นนิทรรศการครั้งนี้ที่ให้ช่างภาพตอบคำถามเราผ่านภาพถ่ายในหลายมุมมองที่มาจากประสบการณ์ตรงของพวกเขา” ผ้าป่านเล่าจุดเริ่มต้นโปรเจกท์นี้ ที่ภาพถ่ายได้ขยายมิติไปทั้ง “ระหว่าง” การเดินทาง และ “ระหว่าง” การสำรวจตัวตน
“เวลาใครไปเรียนต่างประเทศ คนมักรอดูผลลัพธ์กันเมื่อเวลากลับมา และคาดหวังว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แต่ป่านรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันอยู่ที่ระหว่างทาง ไม่ใช่ผลลัพธ์ตอนจบเสมอไป แต่เป็นการได้ย้อนกลับไปสำรวจตัวเองในระหว่างที่อยู่ที่นั่น ที่ทำให้อาจได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง”
“หรือบางทีมันอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลหลายพันไมล์ขนาดนั้นเพื่อจะได้มองเห็นสิ่งใหม่ ได้ตั้งคำถามสิ่งใหม่ หรือได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่รึเปล่า?” เป็นคำถามทิ้งท้ายจากภัณฑารักษ์สาวสวยคนนี้ ก่อนที่นำพาพวกเราให้ร่วมเดินทางสำรวจ “ระหว่างทาง” ผ่านภาพถ่ายที่แตกต่างด้วยประสบการณ์และมุมมอง
“มันเกิดจากว่า ป่านมีคำถามหนึ่งที่ยังตอบโจทย์ให้ตัวเองไม่ได้ นั่นคือเราอยากไปเรียนเมืองนอก อยากใช้ชีวิตออกนอกพื้นที่ที่ไม่คุ้นชิน แต่กลายเป็นว่าเราก็ได้แต่ทำงานๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้ถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ถ้างั้นเราไปถามคนที่เคยไป เคยออกจากพื้นที่ของตัวเองมั้ยว่าเขาเจออะไร เกิดเป็นนิทรรศการครั้งนี้ที่ให้ช่างภาพตอบคำถามเราผ่านภาพถ่ายในหลายมุมมองที่มาจากประสบการณ์ตรงของพวกเขา” ผ้าป่านเล่าจุดเริ่มต้นโปรเจกท์นี้ ที่ภาพถ่ายได้ขยายมิติไปทั้ง “ระหว่าง” การเดินทาง และ “ระหว่าง” การสำรวจตัวตน
“เวลาใครไปเรียนต่างประเทศ คนมักรอดูผลลัพธ์กันเมื่อเวลากลับมา และคาดหวังว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แต่ป่านรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันอยู่ที่ระหว่างทาง ไม่ใช่ผลลัพธ์ตอนจบเสมอไป แต่เป็นการได้ย้อนกลับไปสำรวจตัวเองในระหว่างที่อยู่ที่นั่น ที่ทำให้อาจได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง”
“หรือบางทีมันอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลหลายพันไมล์ขนาดนั้นเพื่อจะได้มองเห็นสิ่งใหม่ ได้ตั้งคำถามสิ่งใหม่ หรือได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่รึเปล่า?” เป็นคำถามทิ้งท้ายจากภัณฑารักษ์สาวสวยคนนี้ ก่อนที่นำพาพวกเราให้ร่วมเดินทางสำรวจ “ระหว่างทาง” ผ่านภาพถ่ายที่แตกต่างด้วยประสบการณ์และมุมมอง


มิ้น - มินตรา วงค์บรรใจ
“Night Wander” ภาพทิวทัศน์ยามค่ำคืนของบ้านชานเมืองในซานฟรานซิสโก ที่สะท้อนถึงความเหงาและความคิดถึงบ้านไว้ด้วยแสงเรื่อๆ ที่ส่องมาจากหน้าต่าง พร้อมกับความโดดเดี่ยวที่อยู่ในภาพโทนสีหม่นและความเปลี่ยวร้างของบ้านที่เหมือนไร้ผู้คนอาศัย
ที่มาที่ไปของภาพถ่ายชุด Night Wander
งานชุดนี้สื่อถึงความเหงาของคนที่ต้องอยู่ไกลบ้านในช่วงมิ้นเรียนถ่ายภาพที่ซานฟรานซิสโกอยู่ 4 ปี ซึ่งตอนปั่นจักรยานกลับบ้านตอนกลางคืน จะผ่านบ้านที่หน้าตาคล้ายบ้านของมิ้นที่ลำปาง บวกกับมีแสงไฟสะส้อนออกมา มันกระตุ้นความรู้สึกเรา และให้ความรู้สึกเหงานิดหน่อยค่ะ เป็นที่มาของโปรเจกท์ถ่ายภาพบ้านในแถบชานเมือง ที่มิ้นจะเริ่มเดินออกไปถ่ายตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกไปสิ้นสุดหลังเที่ยงคืน รวมใช้เวลาทำโปรเจกท์นี้อยู่ 2 ปีค่ะ และต้องไปทั่วกว่า 30 หมู่บ้านเลยทีเดียว ชื่อภาพแต่ละภาพ ก็จะตั้งตามโลเคชั่นสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายภาพเลยค่ะ”
จากภาพถ่ายทำให้เราเห็นตัวเองในด้านไหน
“มิ้นใช้กล้องฟิล์ม Medium Format ถ่ายแบบ Long Exposure ตอนกลางคืน ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง บางภาพต้องใช้เวลาถ่ายกว่า 30 นาทีในการถ่ายช็อตหนึ่ง หรือบางทีก็ไม่ได้ภาพเลยก็มี ทำให้เรารู้สึกอดทนต่อการรอคอยมากขึ้นเพื่อให้สำเร็จ โปรเจกท์นี้ยังทำให้เราชัดเจนในตัวตนมากขึ้นคือเน้นเรื่อง Mood มากขึ้น และจริงๆ แล้วเราไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเราเป็นคนขี้เหงา”
การออกจาก Comfort Zone ผ่านการเดินทางและการถ่ายภาพครั้งนี้
“ภาพถ่ายชุดนี้มันค่อนข้างจะชัดเจนมาก เพราะเราอยู่ข้างนอกพื้นที่เราจริงๆ เราไม่ได้อยู่ในบ้านเรา เราอยู่นอกรั้วบ้านคนอื่น เราอยู่ห่างไกล ทั้งเรื่องของสภาพอากาศ สภาพแวดล้อม คือเราเป็นคนรับรู้ทุกอย่างรอบตัว และรับรู้ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทำให้พยายามถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเรา ณ จุดนั้นมากที่สุดค่ะ”
“ในระหว่าการถ่ายรูปบางครั้งเจ้าถิ่นก็ไม่ค่อยจะต้อนรับเราเท่าไหร่ เพราะเราเป็นคนแปลกหน้า เขาคงคิดว่าเราไม่ประสงค์ดี ก็จะเจอทั้งปิดไฟใส่ ปิดม่านใส่ หรือออกมาไล่ มันก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าต้องก้าวผ่านไปทีละสเต็ป ถ้าเจออุปสรรคก็หยุด แล้วเริ่มต้นใหม่ ซึ่งก็ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์ของ In-Transit ได้ดีค่ะ”
“ในระหว่าการถ่ายรูปบางครั้งเจ้าถิ่นก็ไม่ค่อยจะต้อนรับเราเท่าไหร่ เพราะเราเป็นคนแปลกหน้า เขาคงคิดว่าเราไม่ประสงค์ดี ก็จะเจอทั้งปิดไฟใส่ ปิดม่านใส่ หรือออกมาไล่ มันก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าต้องก้าวผ่านไปทีละสเต็ป ถ้าเจออุปสรรคก็หยุด แล้วเริ่มต้นใหม่ ซึ่งก็ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์ของ In-Transit ได้ดีค่ะ”



แพรว - พัดชา กิจชัยเจริญ
ภาพถ่ายระหว่างทาง Road Trip กว่าครึ่งทวีปอเมริกาด้วยความรู้สึกใหม่ เปลี่ยนความผิดหวังจากการโดนปฏิเสธวีซ่ามาหลายต่อหลายครั้ง สู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ระหว่างทางในแบบที่เสิร์ช Google ไม่เจอ
ทำไมตั้งชื่อผลงานว่า 214 (b)
“214 (b) เป็นชื่อเอกสารของสถานทูตอเมริกา ระบุว่าคุณไม่ได้วีซ่า ซึ่งเราถูกวีซ่าปฏิเสธถึง 3 ครั้งกว่าจะได้ไปเรียนที่นิวยอร์ก ที่เลือกตั้งชื่อนี้เพราะถ้าเราได้แต่ 214 (b) ตลอดไป เราก็จะไม่ได้สิ่งที่เราพบเจอในระหว่างทางการเดินทางทั้งหมด”
Road Trip ที่ไม่ได้แค่ภาพถ่าย แต่ได้มองเห็นตัวเอง
“เราเดินทาง Road Trip ไปหลายที่มาก จำไม่ได้ว่ากี่รัฐ แต่รู้ว่าหลายๆ ทริปรวมกันก็เกินครึ่งทวีปอเมริกาแล้ว มีตั้งแต่เที่ยววันเดียวไปจนถึงอยู่ยาว 2 อาทิตย์ เราได้ภาพถ่ายมาเกือบ 3,000 รูป ซึ่งทำให้เรามองเห็นตัวเราได้อย่างไม่น่าเชื่อและอย่างไม่ตั้งใจ เราเห็นสิ่งที่เราถ่ายซ้ำๆ มีกลุ่มภาพที่เป็นแนวเดียวกัน ถึงจะถ่ายคนละที่ คนละมุม คนละเวลาก็ตาม เช่น เรามีรูปเก้าอี้ตัวเดียวว่างเปล่าที่ไม่มีคนนั่งอยู่เป็นร้อยๆ รูป ทำให้เราเริ่มสนใจตั้งคำถามว่า เพราะเราเหงาหรอ ดังนั้นทุกอย่างที่เราเลือกถ่าย มันจะมีความหมายของมันอยู่”
“เราไม่เชื่อว่าการเดินทางจะเปลี่ยนคน แต่ Road Trip ครั้งนั้นทำให้เราอยู่กับคนเยอะขึ้น และอยู่กับตัวเองมากขึ้น เป็นการเดินทางที่ทำให้เราได้เห็นอะไรแปลกๆ เจอคนแปลกหน้า และสิ่งที่ ‘เขาว่ากันว่า’ ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างต้องเข้าให้ลึกกว่านั้น ทั้งอารมณ์ ทั้งคน และภาพถ่าย”
“เราไม่เชื่อว่าการเดินทางจะเปลี่ยนคน แต่ Road Trip ครั้งนั้นทำให้เราอยู่กับคนเยอะขึ้น และอยู่กับตัวเองมากขึ้น เป็นการเดินทางที่ทำให้เราได้เห็นอะไรแปลกๆ เจอคนแปลกหน้า และสิ่งที่ ‘เขาว่ากันว่า’ ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างต้องเข้าให้ลึกกว่านั้น ทั้งอารมณ์ ทั้งคน และภาพถ่าย”
ระหว่างการเดินทาง กับเรื่องราวอย่างที่เสิร์ชไม่เจอใน Google
“อย่างภาพผนังตึกสีชมพู เวลาคนที่ได้เห็นภาพก็จะบอกว่าเฮ้ย บ้านน่ารัก เป็นสีชมพู คอมโพสต์สวย บ้านสวย แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าบ้านหลังนั้นคือซ่องนะ เป็นซ่องที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ใกล้กับ Area 51 (ตอนใต้ของรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา) อยู่ในปั้มน้ำมัน คือคนเราจะได้เจออะไรแบบนี้มั้ยถ้าไม่ได้ออกมา”
“หรืออีกรูปที่เป็นภาพต้นไม้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้า อยู่ในเขต Hampton ซึ่งเป็นย่านบ้านพักตากอากาศของคนรวย และรวยมากถึงขนาดว่าเอาผ้ากระสอบมาคลุมต้นไม้ไว้ เพื่อไม่ให้ต้นไม้ตายในช่วงอากาศหนาว ซึ่งเราเจอเฉพาะบ้านในเขตนี้เท่านั้น เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไปเสิร์ช Google แล้วไม่เจอ”
“หรืออีกรูปที่เป็นภาพต้นไม้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้า อยู่ในเขต Hampton ซึ่งเป็นย่านบ้านพักตากอากาศของคนรวย และรวยมากถึงขนาดว่าเอาผ้ากระสอบมาคลุมต้นไม้ไว้ เพื่อไม่ให้ต้นไม้ตายในช่วงอากาศหนาว ซึ่งเราเจอเฉพาะบ้านในเขตนี้เท่านั้น เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไปเสิร์ช Google แล้วไม่เจอ”




ปูเป้ - จุฑารัตน์ ภิญโญดุลยเจต
บันทึกช่วงเวลาแสนสนุกที่ได้เป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในมหานครนิวยอร์ก มองหาความพิเศษในความธรรมดา และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวของชีวิตมนุษย์
“ทุกอย่าง ทุกที่ มันมีความพิเศษของมันอยู่”
“ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบสังเกตผู้คนและพฤติกรรมคน สังเกตรายละเอียดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่คนมองข้ามไป เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่าง ทุกที่มันมีความพิเศษของมันอยู่ แล้วเราก็จะมองหาความพิเศษในความธรรมดานั้น เพื่อนำเสนอออกมาเป็นภาพ อย่างเช่น เล็บสีฟ้าของผู้ชายมีเคราที่นอนอยู่ แต่สวมใส่หมวกสีชมพู เป็นภาพในชีวิตประจำวันที่ใครหลายคนอาจจะมองข้าม แต่เราอยากให้ทุกคนเห็นว่ามันมีความสนุก และความไม่น่าเบื่อจำเจอยู่ในทุกๆ วัน”
“อีกหนึ่งภาพที่ชอบคือ ภาพหมากฝรั่งที่ติดอยู่บนป้ายบิลบอร์ด ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจ เพราะเราปลูกฝังมาว่าการถ่ายสตรีท ต้องมีภาพคนทำท่าประหลาด อะไรเยอะแยะวุ่นวายเต็มไปหมด แต่ภาพนี้เราบังเอิญเห็นแล้วถ่ายมาโดยไม่คิด แต่กลับรู้สึกว่าเป็นรูปที่เป็นตัวเองมากที่สุดรูปหนึ่ง ในการหยิบจับรายละเอียดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สนุก และหลบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ ออกมาค่ะ”
“อีกหนึ่งภาพที่ชอบคือ ภาพหมากฝรั่งที่ติดอยู่บนป้ายบิลบอร์ด ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจ เพราะเราปลูกฝังมาว่าการถ่ายสตรีท ต้องมีภาพคนทำท่าประหลาด อะไรเยอะแยะวุ่นวายเต็มไปหมด แต่ภาพนี้เราบังเอิญเห็นแล้วถ่ายมาโดยไม่คิด แต่กลับรู้สึกว่าเป็นรูปที่เป็นตัวเองมากที่สุดรูปหนึ่ง ในการหยิบจับรายละเอียดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สนุก และหลบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ ออกมาค่ะ”
มองเห็นตัวเองอย่างไร ผ่านภาพถ่ายในครั้งนั้น
“น่่าแปลกอยู่อย่างว่างานของเราไม่มีความ Homesick หรือมีความเหงาเลย เพราะการออกนอกพื้นที่ของเราในช่วงอยู่นิวยอร์ก 2 ปีนั้น เป็นเรื่องสนุกตื่นเต้น ที่เราได้ออกไปเจอโลกใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เพราะนิวยอร์กเป็นเมืองที่มีพลังมาก ทำให้เราได้สนุกกับการเห็นคนทำอะไรประหลาดๆ หรือได้เห็นบ้านเมืองแปลกๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้งานค่อนข้างมี Energy เยอะ ไม่ใช่ด้านเหงาเศร้าเท่าไหร่”




ปูนปั้น - กมลลักษณ์ สุขชัย
ช่างภาพคนเดียวที่ไม่ได้เรียนเมืองนอก แต่ออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองด้วยด้วยการย้ายจากภูมิลำเนาเดิมที่ราชบุรีมาเรียนที่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดเป็นภาพถ่ายที่บอกเล่า “เรื่องราวที่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาของครอบครัว” ผ่านมุมมองของศิลปินที่เติบโตขึ้นจากครอบครัวอนุรักษ์นิยม กับจุดเริ่มต้นของทำความเข้าใจแง่มุมใหม่ๆ ที่หลากหลายโดยเฉพาะเรื่องเพศและเซ็กซ์
เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาของครอบครัว แต่ปรากฏในภาพถ่ายขาวดำชุดนี้
“คือครอบครัวของปั้นค่อนข้างจะหัวโบราณ ที่เหมือนเขาวางบรรทัดมาว่าเราต้องอยู่ในกรอบแบบนี้ เป็นผู้หญิงที่ดี ซึ่งปั้นก็วางตัวแบบนั้นมาตลอด แต่ความเข้าใจแบบนั้นเริ่มเปลี่ยนตอนมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ได้ทำความเข้าใจเรื่องเพศแบบใหม่ๆ ปั้นรู้สึกว่าตัวเองมีพัฒนาการเรื่องเพศช้ากว่าคนอื่น เพราะอยู่ในกรอบมาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยมปลาย เหมือนเป็นกรอบที่คลุมเราไว้ แต่เมื่อเราอยู่ในพื้นที่อีกพื้นที่หนึ่ง ได้คิดอีกแบบหนึ่ง ทำให้มีความคิดเห็นที่ต่างออกไป”
“โดยปั้นจะทำงานเรื่องเพศและสังคมมาตลอดแต่อยู่ในบริบทของภาพยนตร์ ผลงานนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ชุดที่ถ่ายทอดความรู้สึกตัวเองที่เป็นส่วนตัวมากๆ สะท้อนเรื่องเกี่ยวกับเพศที่เปลี่ยนไปตามความเข้าใจของปั้นในแต่ละช่วงเวลา อย่างภาพถ่ายชุดนี้เป็นการทำความเข้าใจเรื่องเพศแบบที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศมาก่อนค่ะ”
“โดยปั้นจะทำงานเรื่องเพศและสังคมมาตลอดแต่อยู่ในบริบทของภาพยนตร์ ผลงานนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ชุดที่ถ่ายทอดความรู้สึกตัวเองที่เป็นส่วนตัวมากๆ สะท้อนเรื่องเกี่ยวกับเพศที่เปลี่ยนไปตามความเข้าใจของปั้นในแต่ละช่วงเวลา อย่างภาพถ่ายชุดนี้เป็นการทำความเข้าใจเรื่องเพศแบบที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศมาก่อนค่ะ”
การสำรวจตัวเองผ่านการถ่ายภาพครั้งนี้
“เวลาทำงานคิดคอนเซ็ปต์ ปั้นไม่เคยมานั่งตอบตัวเองว่าเราเป็นยังไง จนมาถึงงานนี้ที่ได้คุยกับพี่ผ้าป่าน มันปลดล็อค ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วการที่เรานำเสนอเรื่องนี้มาตลอดมันเป็นเพราะอะไรรึเปล่า นั่นคือเพราะเราได้ออกมาพูดเรื่องเพศในแบบที่เราไม่เคยได้พูดที่บ้านค่ะ”





แก้ว - วลัยรัตน์ ยุทธนาวราภรณ์
ผลงานภาพถ่ายเพื่อการบำบัดจิตใจ และบันทึกความรู้สึกช่วงเวลาหนึ่งในประเทศเกาหลี โดย “Good Afternoon” ไม่ได้หมายถึงแค่ “สวัสดีตอนบ่าย” แต่ในภาษาเกาหลีคำว่า Noon ยังหมายถึง ดวงตา หรือหิมะ สู่เรื่องราวของภาพถ่ายที่เกิดขึ้นหลังเจอหิมะ
ที่มาของภาพถ่ายชุดนี้
“เป็นช่วง 3 เดือนสุดท้ายที่เรียนภาษาที่เกาหลีอยู่ 1 ปีค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวพอดีและเกิดอาการ Homesick (คิดถึงบ้าน) เลยหาวิธีการบำบัดความเครียดด้วยการออกไปเดินเขาและถ่ายรูป ตอนแรกไม่ได้ตั้งคอนเซ็ปต์อะไรไว้ แค่เดินแล้วถ่ายภาพไปเรื่อยๆ จนกลับมาดูรูป ถึงเห็นว่าบางรูปมันเชื่อมโยงกันอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่ตั้งใจ นั่นคือความสนใจในธรรมชาติ กิ่งไม้ รูปร่างและรูปทรงของต้นไม้แห้งค่ะ”
ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพถ่ายหิมะและธรรมชาติ
“ตอนนั้นมันจะมีเรื่องของภาวะสับสนว่าจะเรียนต่อมั้ย หรือจะกลับไทยเลย ก็จะมีหลายๆ อารมณ์อยู่ในช่วงนั้น แต่ด้วยสภาพแวดล้อมทำให้ในช่วงนั้นเราอยู่กับตัวเองมากขึ้น มาถึงตอนนี้ก็ยังนึกถึงช่วงเวลาตอนนั้นที่อยู่คนเดียว เห็นบางรูปแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเราไปอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง”
สะท้อนแนวคิด “In-Transit” อย่างไร
“เป็นระหว่างทางจริงๆ คือ ระหว่างที่เรากำลังกลับไทย ระหว่างทางที่เรากำลังเดินขึ้นเขา ระหว่างความรู้สึกว่าเราจะบำบัดความเครียดของเราได้มั้ย มันมีความ In-Transit หรือระหว่างทางอยู่จริงๆ ค่ะ”


ชมนิทรรศการภาพถ่ายที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้เราค้นหาความหมาย “ในระหว่างทาง” สู่การเดินไปยังเป้าหมายบางอย่างของแต่ละคน กับนิทรรศการ IN-TRANSIT อยู่ในระหว่างการจัดส่ง ได้จนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2561 ที่ RCB Photographers' Galleries 1 & 2 ชั้น 2 ของ River City Bangkok (ท่าเรือสี่พระยา)