lCELAND,
Living Upon Nature

เดินทางสู่ประเทศไอซ์แลนด์ร่วม 15 ชั่วโมง เรานั่งคิดทบทวนว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เราเดินทางมาไกลถึงประเทศที่อยู่เกือบจะเหนือสุดของโลก อาจจะเกิดจากเพราะความสงสัยเมื่อหลายคนกล่าวถึงประเทศนี้คือประเทศที่สวยงามที่สุดที่ธรรมชาติสร้างขึ้น คนจากทุกมุมโลกออกเดินทางมาที่นี่เพื่อจะมาตามล่าแสงเหนือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในตอนกลางคืนที่สวยงาม อลังการ หรือจะเป็นความหม่นหมองของหาดสีดำ เอกลักษณ์ที่แปลกตาที่เราอยากจะเห็นด้วยตาตัวเอง
  นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับเราคือ ประเทศไอซ์แลนด์คือหนึ่งในห้าของประเทศที่ประชากรมีความสุขที่สุดในโลกแม้ว่าประเทศนี้ ธรรมชาติคือสิ่งที่กำหนดทุกอย่างของการดำรงชีวิตเพราะที่นี่มีเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดอยู่เรื่อยๆ ไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนจุดร้อนและเทือกเขากลางมหาสมุทร ซึ่งอยู่บนแนวเแผ่นเปลือกแยกตัวระหว่างแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นทวีปยูเรเซีย ประเทศนี้จึงเต็มไปด้วยภูเขาไฟร่วมๆร้อยแห่งและหลายแห่งยังคงคุกรุ่นอยู่อย่างเช่น ภูเขาไฟเฮกลา ที่ปะทุล่าสุดในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งทำให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์อย่างทันที และมีผลกระทบของการปะทุไปถึงทวีปยุโรปที่ไม่สามารถใช้คมนาคมทางอากาศนานร่วม 7 เดือน

   การอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกหนีได้ทำให้ผู้คนประเทศนี้มักพูดว่า Think Less, Live More เพราะความไม่แน่นอนคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่ตลอด เพราะสิ่งนี้รึเปล่าเลยทำให้คนที่นี่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเมื่อธรรมชาติคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่และทุกคนพร้อมที่จะเข้าใจและอยู่ร่วมกัน คนส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับมาอยู่กับครอบครัวมากกว่าจะทำงานเกินเวลาเพื่อหาเงินที่เพิ่มขึ้นเพราะเวลาสำหรับเขามันก็ไม่แน่นอนเช่นกัน
  2180 กิโลเมตรในเวลา 11 วันเต็มๆ ที่เราสองคนเดินทางด้วย campervan หรือรถบ้าน ขับรถรอบประเทศเริ่มจากเมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavik) จนไปจบทริปที่ส่วนใต้สุดของประเทศไอซ์แลนด์ ครั้งนี้เราได้เจอกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความหนาวเหน็บของลมที่พัดผ่าน ฝนที่ตกเป็นระยะๆ ความเหนื่อยล้าของร่างกาย และทุกอย่างก็ตอบแทนเราด้วยแสงแดดที่เปลี่ยนจากความมืดมนและน่ากลัวให้กลับมามีชีวิตชีวา  เราวางแผนมาเยี่ยมชมสถานที่สวยงามของธรรมชาติ ปีนเขา ทำความเข้าใจสถาปัตยกรรมของเมืองที่เชื่อว่า Architecture as Landscape และนอนในรถทั้งหมด 10 คืนเพื่อจะออกไปอยู่ให้ใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด
  จากการเดินทางรอบเกาะไอซ์แลนด์ เราได้สังเกตเห็นว่าประเทศนี้ได้มีงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมโมเดริ์นหรืองานแบบ Functionalism คือ แนวการแบบออกสถาปัตยกรรมที่ให้ความสำคัญกับหน้าที่การใช้สอยเป็นหลัก โดยยึดถือการใช้สอยเป็นแกนสำคัญในการออกแบบ ส่งผลให้รูปร่างหน้าตาอาคารมีลักษณะเรียบง่ายและสะท้อนลักษณะของวิธีการใช้สอยภายในอาคาร ถูกผสมผสานเข้ากับความเป็นเอกลักษณ์ของธรรมชาติที่นี่เอง
  หากเราย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ประเทศไอซ์แลนด์คือเมืองที่ถูกสร้างด้วยหินและไม้เป็นหลัก จนถูกพัฒนาให้มีคอนกรีตเข้ามาในช่วงภายหลังของศตวรรษที่ 19 หากคุณเดินทางมาที่เมืองหลวง อย่าลืมแวะชมโบสถ์ Hallgrimskirkja ที่เป็นแลนมาร์คของเมือง ถูกออกแบบโดยสถาปนิก Guojon Samuelsson เมื่อปี ค.ศ  1945 มีความสูง 74 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 41 ปี โบสถ์นี้ตั้งอยู่บนใจกลางเมืองของเรคยาวิกเลย พื้นผิวของอาคารภายนอกได้รับแรงบันดาลใจจากหินบาซอลต์ที่สามารถพบเจอได้ตามน้ำตกในประเทศไอซ์แลนด์ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 งาน สถาปัตยกรรมของประเทศไอซ์แลนด์ได้รับอิทธิพลหลักมาจากแถบสแกนดิเนเวียอย่างชัดเจนขึ้น เนื่องจากสถาปนิกคนสำคัญหลายคนได้ออกไปศึกษาต่อเมืองนอกโดยเฉพาะจากประเทศเดนมาร์กแล้วจึงนำองค์ความรู้ต่างๆกลับมาพัฒนาให้เป็นสไตล์ของประเทศไอซ์แลนด์เองเนื่องจากสภาพอากาศของประเทศที่มีความแตกต่าง
  โดยภายหลังเราจะเห็นงานก่อสร้างที่ใช้คอนกรีตแบบ Rough Cast Concrete หรือการทำพื้นผิวของคอนกรีตไม่เรียบจากการถูกผสมของหินและทรายเข้าไป ผู้ออกแบบต้องการจะดึงความเป็นเอกลักษณ์ที่เคยเป็นมา นำมาปรับและผสมผสานกับเทคนิคของการใช้คอนกรีตเพื่อให้มีอายุที่ยาวนานขึ้น โดยในช่วง 10 ปีหลังของศตวรรษที่ 20 สถาปนิกหลายคนที่มีความสำคัญต่อประเทศได้กลับมาสนใจถึงวัสดุที่เป็นท้องถิ่นหรืออัตลักษณ์ที่โดดเด่นในอดีตอย่างเช่น เทริ์ฟเฮาส์ (Turf House) และหลังคาสังกะสีลูกฟูกที่เคยใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างหลังคาบ้าน รวมไปถึงงานออกแบบที่สอดคล้องกับบริบทและภูมิประเทศเองซึ่งได้ถูกเรียกกันว่า Architecture as Landscape งานสถาปัตยกรรมที่มีความกลมกลืนไปกับธรรมชาติทั้งทางกายภาพและการใช้สอยให้เข้าถึงความเป็น Eco Friendly ได้ดีที่สุด
1. Kirkjufell
   ประเทศไอซ์แลนด์มีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟ ทะเลสาบ ทะเลดำ น้ำตก ธารนำ้แข็งหรือทุ่งมอสที่เราสามารถเดินทางไปถึงด้วยรถและบางที่จะต้องเดินต่อไปเพื่อให้ถึงจุดชมวิว เราเริ่มต้นด้วยการเดินทางมาถึงภูเขาเคริ์กจูเฟลล์ (Kirkjufell) เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะไอซ์แลนด์​ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงเรคยาวิก เป็นภูเขาที่มีรูปทรงสวยงามเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่ถ่ายทำซีรี่ส์ที่ดังมากอย่าง Games of Thrones จุดมุ่งหมายวันนี้คือการมานอนจุดแคมป์ให้ใกล้กับภูเขาเคริ์กจูเฟลล์ที่สุดเพื่อจะดูแสงเหนือในตอนกลางคืน ที่นี่คือท๊อปลิสของจุดชมวิวและจุดถ่ายภาพแสงเหนือที่ช่างภาพทั่วโลกอยากจะมา วันนี้ฟ้าเปิดจึงถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วที่ได้เห็นในคืนที่อยู่ที่นี่พอดี
2. Hvitserkur
   เดินทางต่อมายังฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปชมหินประหลาดที่ดูเหมือนไดโนเสาร์ Hvitserkur คือส่วนยื่นออกมาจากหน้าผาในอดีตที่ถูกคลื่นและลมกัดเซาะบริเวณส่วนเชื่อมต่อที่ไม่แข็งแรงเป็นเวลานาน จนในที่สุดส่วนที่เชื่อมต่อเกิดการพังทลายจมลงไปในน้ำ เหลือเพียงหินบาซอลต์นี้เอาไว้จนกลายเป็นที่ฮิตมากสำหรับนักท่องเที่ยว โดยช่วงหลังผู้คนแถวนั้นตัดสินใจทำฐานรากด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อให้ไม่ทลายลงในอนาคต
3. Husavik
   เมื่อมาถึงทางตอนเหนือ เราแวะเมืองฮูซาวิค (Husavik) เมืองท่าที่มีการท่องเที่ยวดูปลาวาฬเป็นเอกลักษณ์และกิจกรรมหลักของผู้มาเยือนที่นี่ บรรยากาศของแต่ละส่วนของประเทศมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ที่เมืองนี้คนส่วนใหญ่ทำอาชีพเป็นชาวประมง ด้วยความที่ท้องทะเลของที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์มากทำให้มีปลาวาฬมาอาศัยอยู่เยอะ เมืองเล็กๆนี้มีความน่ารักและมีพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับปลาให้เที่ยวชมด้วย
4. Godafoss
   ทางตอนเหนือของประเทศไอซ์แลนด์มีน้ำตกที่น่าไปเที่ยวคือโกดาฟอส (Godafoss) แปลว่านำ้ตกแห่งพระเจ้า เป็นน้ำตกชื่อดังเพราะความสวยงาม มีรูปทรงเหมือนเกือกม้า ความสูงอยู่ที่ประมาณ 12 เมตรและกว้าง 30 เมตร ที่นี่มีจุดชมวิวอยู่หลายแห่งทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ออกเดินทางต่อไปพักผ่อนที่บ่อน้ำร้อน ที่เมืองมีวัทน์ Myvatn
5. Jarobooin Vio Myvatn
   Jarobooin Vio Myvatn บ่อน้ำพลังความร้อนธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในเมืองมีวัทน์ (Myvatn) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากน้ำตก Godafoss ประเทศไอซ์แลนด์มีบ่อน้ำพลังความร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเยอะมากจนเหมือนการแช่บ่อน้ำร้อนคือกิจกรรมโปรดของผู้คนที่นี่และนักท่องเที่ยวไปแล้ว เมืองมีวัทน์เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม มีพืชพรรณหลากหลายชนิดให้ได้ชมและบริเวณทะเลสาบมิวันท์นี้มีนกนานาชนิดมาอาศัยอยู่มากที่สุดในประเทศ
6. Litlanesfoss
   มาถึงทางตะวันออกของประเทศไอซ์แลนด์ หากใครชอบปีนเขา เราแนะนำให้มาที่น้ำตกลิทลันเนสฟอสส์ (Litlanesfoss) หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์มากที่สุด เพราะมีความสวยงามของหินบาซอลต์ ซึ่งเกิดจากการเย็นตัวอย่างช้าๆของลาวาเมื่อ 20 ล้านปีที่แล้ว ใช้เวลาเดินไปถึงประมาณ 1 ชั่วโมงเศษแล้วแต่ความฟิตของแต่ละคน ถ้าใครมีแรงสามารถเดินเขาขึ้นต่อไปยังน้ำตกเฮนกิฟอสส์ (Hengifoss)  เป็นน้ำตกที่สูงเป็นอันดับสามของไอซ์แลนด์ด้วยความสูงที่ 128 เมตร ระหว่างทางเดินขึ้นไป หากคุณหันหลังกลับมามอง คุณจะเห็นวิวที่แตกต่าง และสวยงามกว่ามุมอื่น นี่คือเหตุผลของการปีนเขาสำหรับเรา การเดินทางจากทางตะวันออกมายังตอนใต้ของประเทศมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากที่สุด ระหว่างทางจะเจอกับถนนวิ่งคดไปมามองไกลๆจะเห็นเป็นต้วเอสที่วิ่งอยู่ระดับเดียวกับเมฆ
7. Vestrahorn
   หนึ่งในไฮไลท์ของฝั่งตะวันออกต้องให้กับเวสทราฮอน (Vestrahorn) ที่อยู่ในเมือง Stokksnes  เพราะที่นี่คือภูเขาไฟสีดำที่มีรูปทรงสวยงาม ส่วนที่สูงสุดของภูเขาอยู่ระดับเดียวกับเมฆ ที่ทำให้มีการสลับเลเยอร์กันอย่างสวยงาม มีหาดทรายสีดำและทะเลด้านหน้าที่ทำให้วิวตรงนี้ช่างลงตัว ที่นี่จะเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Batman Mountain เพราะมีความเหมือนปีกค้างคาวในส่วนปลายของภูเขา จึงเป็นที่มาของโลโก้หนังเรื่อง Batman
8. Jokulsarlon
   เมื่อมาถึงตอนใต้ของประเทศ เราจะได้พบกับทะเลสาบโจกุลซาลอน (Jokulsarlon) ที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งหลายสาย ทะเลสาบแห่งนี้เมีก้อนนำ้แข็งที่ใหญ่มาก นำ้ใสบริสุทธิ์ทำให้เราได้เจอกับแมวน้ำมากมายว่ายน้ำหาปลาอยู่เยอะและเรายังสามารถเห็นแมวน้ำขึ้นมานอนเล่นตามชายฝั่งด้วย
9. Fjallsarlon
   ฟอลซาลอน (Fjallsarlon) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวนาโจกูล (Vatnajokull) มันคือทะเลสาบธารนำ้แข็งที่ใหญ่มาก อาจจะดูว่าเหมือนกับทะเลสาบโจกุลซาลอนแต่มีหน้าหาดที่ใหญ่กว่าและคนน้อยกว่า  ทะเลสาบ ฟอลซาลอนอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา ดูท่าทางเหมือนมันจะไหลลงมาแต่ถูกสกัดด้วยความเย็นจึงเกิดนำ้แข็งที่มีรูปร่างโค้งสวยงาม เราเดินถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด สามารถนั่งมองออกไปที่ธารนำ้แข็งได้สักพักใหญ่ๆเลย
10. Skaftafell National Park
   อุทยานแห่งชาติสกัฟตาเฟลล์ เป็นสถานที่สำหรับเดินเขาไปดูน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากๆอย่าง Svartifoss ข้างทางระหว่างเดินขึ้นถือว่าอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยดอกไม้ ต้นไม้อันสวยงาม เดินเขาจาก Svartifoss ไปอีก 3 ชั่วโมงก็จะสามารถเห็นความยิ่งใหญ่ของธารน้ำแข็งวัทน่าโยคูลล์ (Vatnajokull Glacier) ซี่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และใหญ่ที่สุดในยุโรปเท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกันธารน้ำแข็งวัทน่าโยคูลล์เป็นธารน้ำแข็งที่เก่าแก่กว่ายุคน้ำแข็งไปอีกราวๆ 2,500 ปี ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาฟานนาดาลสนักเกอร์ (Hvannadalshnúkur) ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์เช่นกัน
11. Reynisfjara Black Sand Beach
  เดินทางมาถึงตอนใต้สุดของประเทศไอซ์แลนด์คือเมืองวิค (Vik) และมาแวะชม Reynisfjara Black Sand Beach หาดทรายสีดำของไอซ์แลนด์ที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นหาดทราบสีดำที่สวยที่สุดในโลก ในภายใต้ความสวยนี้ หาดทรายสีดำแห่งนี้ยังมีคลื่นทะลที่แรงและน่ากลัว มีคลื่นเป็นเกลียวม้วนใหญ่ๆ โดยจะมีป้ายติดบอกเราก่อนเข้าว่า ห้ามหันหลังให้กับคลื่นเป็นอันขาดเพราะมันอาจจะสามารถพาเราลงทะเลไปได้ ซึ่งมีคนได้มาเสียชีวิตที่นี่เพราะไม่ฟังคำเตือน ความสวยงามแบบลึกลับคือคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับที่นี่

          นอกจากความสวยงามของธรรมชาติได้มอบให้กับเรา มันคือประสบการณ์ที่ให้เราได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ตำแหน่งไหนบนโลก มนุษย์คือสิ่งเล็กๆบนโลกเมื่อเทียบกับธรรมชาติ การเดินทางในประเทศไอซ์แลนด์ด้วยรถบ้านคือการเดินทางที่ออกจาก comfort zone ของชีวิตทั้งนั้น การที่เราได้ออกมาอยู่ใกล้กับธรรมชาติมากๆ ทำให้เราห่างไกลกับความสะดวกสบายแบบทริปอื่นๆ  การจัดสรรค์เวลาต่างๆในการใช้ชีวิตที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมมันก็คือการกลับมาสู่ความธรรมดาของมนุษย์ที่แท้ มันทำให้เราได้รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเมื่อมันถึงเวลา comfort zone ทำให้เรากลายเป็นคนที่ขี้เกียจมากกว่าเป็นคนทำอะไรไม่เป็น เพราะไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หากเราตั้งใจจะทำมัน และการเดินทางทุกครั้ง มันไม่มีบอกในไกด์บุ๊คเล่มไหนว่าข้างทางเราจะเจอกับอะไร ต้นไม้ ดอกไม้อุดมสมบูรณ์หรือแห้งแล้งก็แล้วแต่ว่าเราอยู่ที่นี่ ณ เวลาใด หรือมันจะเจอหลุมบ่อ ทางขรุขระข้างหน้ามากน้อยแค่ไหน เราเท่านั้นที่จะบอกตัวเองได้ในวันที่เราออกเดินทาง