ชื่อของพี่ปู จิรัฏฐ์ พรพนิตพันธุ์ มักจะถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ในฐานะของผู้ขับเคลื่อนให้วงการแมกกาซีนวัยรุ่นในบ้านเราเต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ เป็นกูรูสตรีทแฟชั่นที่ผลักดันให้เกิดอีเว้นท์มันส์ๆ ขึ้นมากมาย รวมทั้งยังเป็นนักเล่าเรื่องที่มีมุมมองและสำนวนภาษาอันคมคาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสะท้อนออกมา โดยเฉพาะกับความหลงใหลในการคัสตอม เพราะด้วยความไม่ชอบใช้ชีวิตแบบธรรมชาติที่ได้อะไรมาแล้วใช้แบบนั้น ทำให้ทั้งมอเตอร์ไซค์ พื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว ไปจนถึงสไตล์การแต่งตัวที่ถูกผสานโดยเอาส่วนผสมที่ตัวเองชอบเป็นหลัก เสริมให้ผู้ชายที่ชื่อ จิรัฏฐ์ พรพนิตพันธุ์ คนนี้ยิ่งดูน่าทึ่ง เท่แบบไม่ต้องวิ่งตามกระสไม่ต้องพยายาม ที่สำคัญเป็นแบบอย่างที่สร้างอินสปายในการใช้ชีวิตได้โคตรดี! ซึ่งในครั้งนี้ Everything จะขออาสาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอีกด้านที่นอกเหนือไปจากเรื่องงานของพี่ปูกันอย่างเจาะลึก เขาชอบคัสตอมมอเตอร์ไซค์แบบไหน มีแนวคิดคิดในการตกแต่งบ้านยังไง หรือชอบแต่งตัวชอบช้อปปิ้งที่ไหน ตามไปดูกัน!
- มีวันหนึ่งไปที่เมเจอร์รัชโยธินแล้วเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่คันนึง ไม่รู้หรอกว่าคือรถอะไร แต่ เขียนว่า Ducati เราถ่ายรูปลงอินสตราแกรมว่าอยากได้รถรุ่นนี้ แล้วก็มีคนบอกว่ามันคือ Ducati เราไปที่โชว์รูมแล้วลองค่อม บังเอิญว่าช่วงนั้น Ducati อยากได้คนไปทำข่าวการขี่มอเตอร์ไซค์ที่ เมืองนอก เค้าเลยบอกว่าจะดูแลเรื่องมอเตอร์ไซค์ให้ แต่มีข้อแม้ว่าเราต้องไปขี่มอเตอร์ไซค์ให้ เค้าที่อเมริกา ตัดสินใจ ณ ตอนนั้นว่าไปแน่ๆ เราเลยไปเรียนขี่ก่อน 2-3 ครอส จากนั้นเค้าให้ มอเตอร์ไซค์มาใช้ 1 ปี เพื่อรอคันที่เค้าบอกว่าเหมาะกับเรามากที่สุด คือ Ducati Scrambler พอรถรุ่นนี้มาเราก็ไปซื้อ จากนั้นคันที่สองสามสี่ห้าตามมาเรื่อยๆ พอเราสนใจอะไรเราก็จะโฟกัส มัน ศึกษาคุยกับคนนู้นคนนี้ ไปดูนู้นดูนี่ มันเลยกลายเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ
- รถแต่ละคันรูปแบบไม่เหมือนกัน ท่านั่ง วิธีการขับขี่ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญเวลาขึ้นขี่ลักษณะของเสื้อผ้าจะไม่เหมือนกัน มันต่างกันเกือบทุกคันเลย แม้กระทั่งรองเท้า เพราะรถแต่ละคันระยะเกียร์ระยะเครื่องไม่เหมือนกัน บางคันใส่รองเท้าบูทไม่ได้ บางคันต้องใส่รองเท้าบางๆ บางคันไม่เหมาะใส่แจ็คเกตหนัง บางคันเหมาะสำหรับใส่สีสีสัน เรามองว่าสีของมอเตอร์ไซค์ หรือตัวมอเตอร์ไซค์คือเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ความสนุกเลยอยู่ที่รถแต่ละคันจะมีชุดแต่ละประเภทของตัวเองอยู่ มันสนุกตรงเป็นโจทย์ เราเป็นคนที่ชอบแฟชั่น จริงๆ เหมือนซื้อรถมาแต่งตัวมากกว่า ไม่ได้ซื้อรถมาขี่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก พอแต่งตัวแล้วไปอยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์ก็รู้สึกดี
- อาจจะเป็นคนไม่ชอบชีวิตแบบธรรมชาติ ไม่ยอมปล่อยอะไรที่ได้มายังไงใช้อย่างงั้น มันอะแดปมาจากการแต่งตัว แต่ละคนความยาวแขนความยาวขาน้ำหนักตัวไม่เท่ากัน ท่านั่งสบายไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นรถแต่ละคันจำเป็นต้องเอามาปรับ ระยะ สี ล้อ หรือลักษณะ ชอบแบบไหนเราก็ทำรถให้เป็นแบบนั้น มันอดไม่ได้ที่จะจัดการให้เป็นรถของเรา เพื่อเวลาไปจอดรวมๆ กันแล้วอย่างน้อยเราก็จำรถของตัวเองได้
- Ducati Scrambler Urban Enduro เป็นรถคันแรกที่เป็นรถใหญ่แบบนี้ มันเลยมีความต้องการเยอะไปหมด มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะไม่ทำเหมือนใครเลยรื้อทั้งคัน รื้อแม้กระทั่งถัง ตีถังใหม่ ทำเบาะทำท่อทำแฮนด์ทำสีใหม่ ทำเกือบทุกอย่างเหลือไว้แค่เครื่องกับโครง แล้วมันก็ได้แบบที่ใจเราอยากได้ ก่อนจะได้แบบนี้เปลี่ยนไฟหน้าไม่ต่ำกว่าสิบดวง ตีถังใหม่สองครั้ง แฮนด์เป็นสิบ เคยมีวันหนึ่งเปลี่ยนแฮนด์สองรอบ คิดว่าแฮนด์นี้ดีขี่มาไม่ดีกลับไปเปลี่ยนอีกรอบ คนไม่เคยมีไม่รู้หรอกว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ มันคือการลองผิดลองถูก รถคันนี้เลยจะมีอะไหล่เยอะที่สุด กลายเป็นว่าเวลาเราถ่ายรูปลง หรือไปจอดกินกาแฟกับกลุ่มเพื่อนๆ จะเป็นรถที่ไม่เหมือนในรุ่นที่สุด คันนี้เป็นคันแรกที่ทำทุกอย่างโดยไม่หวงของเดิม
ตัวนี้เป็นรถทัวร์ริ่ง ถ้าเป็น Before After คนละโลกเลย ตัดใหม่หมดทุกอย่างแทบไม่เหลือโครงเดิม แม้กระทั่งเฟรมท้ายก็ตัด จัดการทุกอย่างจนกลายเป็นแบบที่เห็นแล้วมันก็ได้อย่างที่เราต้องการ แต่ผมเชื่อว่าจะไม่จบเท่านี้หรอก คนที่ทำคัสตอมเหมือนคนแต่งตัว ไม่น่าจะใส่ชุดเดียวได้ถึงสี่ปีห้าปี เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ เราว่ามันเป็นของเล่นเป็นงานอดิเรกเป็นอะไรที่บำรุงจิตใจ
เป็นรถที่ได้มาฟลุ๊คๆ รุ่นน้องขายให้ แต่มีรูปแบบอยู่ในใจอยู่แล้วว่าถ้ามีรถรุ่นนี้จะทำเป็นแบบนี้ คันนี้กว่าจะได้ไม่รู้ว่าไฟหน้าหมดไปประมาณกี่ดวง รถจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนบางทีอยู่ไฟหน้า สั่งซื้อทีละอย่างมาเรื่อยๆ ค่อยๆ ทำ จนเนี้ยบ คันนี้เป็นรถที่รักที่สุดแล้ว มันไม่ได้แพงมากหรอกแต่หวง รถคันอื่นคนอื่นยืมขี่ได้นะ แต่รถคันนี้รู้สึกไม่อยากให้ใครยืม เพราะเราปั้นมากับมือ ปั้นทีละจุดทีละจุด จนกลายมาเป็นแบบนี้แล้วเป็นรถที่ขี่สนุกที่สุดแล้ว คิดว่าจะไม่มีวันขายทิ้งจะเก็บไว้ให้ลูกให้หลานต่อๆ ไป
เป็นโปรเจกท์ที่เราทำกับ Honda และเพื่อนๆ อีก 10 กว่าคน โดยการเอารถพวกนี้มาคัสตอมในรูปแบบของใครของมันแล้วขี่ด้วยกัน มันสนุกมาก แต่ละคนคาแรคเตอร์จะไม่เหมือนกัน ของเราถ้าสังเกตดีๆ จะออกแนว Scrambler ที่ดูดุๆ หน่อย เป็นคนที่ชอบดินมากกว่าพื้นปูนไม่ชอบขี่สบาย อยากลำบากหน่อยๆ มันได้ความเป็นลูกผู้ชายดี รถเกือบทุกคันจะขี่ยากโดยท่านั่งโดยความสบายที่เอามาทำให้ลำบากแต่ก็มีความสุข
เล็งไว้นานแล้ว พอมีโอกาสก็ไปออก BMW R Nine T Scrambler รถคันนี้มันดีมันเพอร์เฟคอยู่แล้ว เลยตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรมาก แค่เปลี่ยนแฮนด์ กระจกข้าง ทำสีนิดหน่อย เปลี่ยนเบาะ ทำท้ายใหม่ ติดป้ายทะเบียนพอแล้ว ไม่อยากไปยุ่งกับมันมาก คันนี้เพิ่งได้มาขี่ได้ไม่กี่พันโล เป็นรถที่สามารถใช้ได้ทุกวัน
- จริงๆ ชอบทุกคันนะ แต่ถ้าชอบที่สุดน่าจะเป็นตัว R 100 ถ้าวางไว้ที่บ้านทุกคัน คันนี้จะใช้บ่อยสุดแต่พยายามไม่ให้บ่อยสุด สงสารมันเพราะอายุเยอะแล้ว ที่ใช้รองลงมาน่าจะเป็น R Nine T เป็นรถใหม่ที่ไม่ต้องกังวลอะไรมาก อย่างตัว K100 หรือ R 100 บางทีไปไหนมาไหนต้องพกที่ชาร์จแบต เคเบิ้ลไทร์ อะไหล่ หรือปะแจ เผื่อเวลาเสีย เพราะเป็นรถมือสองเป็นของเก่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาหนักหรอก แต่เคยนะขี่ลุยๆ แล้วน็อตหลุดต้องใช้เคเบิ้ลไทร์พันไว้แล้วค่อยขี่เข้ากรุงเทพฯ ขี่นานๆ หลอดไฟก็อาจจะช็อต ต้องดูแลกันไป
- เราว่าการขี่รถคือการฝึกสมาธิ คุณจะไม่วอกแวกไม่เหมือนการขับรถยนต์ คุณเล่นมือถือได้ฟังเพลงได้มองข้างทางก็ได้ แต่การขี่มอเตอร์ไซค์ใจจะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ มันอันตรายมากสองล้อพลาดก็ไปเลย การขี่มอเตอร์เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เราจะไม่วอกแวก โลกทั้งใบจะอยู่ในหมวกกันน็อค แล้วมันเป็นการบำบัดอย่างนึง เราอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ เพื่อจะได้ขี่ออกไปที่ไหนก็ได้ เหมือนเราชอบช้อปปิ้งเวลาไม่สบายใจหงุดหงิดอะไรก็ตาม ช้อปปิ้งก็บำบัดได้มอเตอร์ไซค์ก็เหมือนกัน จริงๆ การขี่มอเตอร์ไซค์ลำบากนะ เมืองไทยร้อนเวลาจอดติดไฟแดงอยู่ในแจ็คเกตเหงื่อไหลลงตัว แต่มันแพ้ความอยากในการขี่ เรายอมแลกกับการอยู่ในแจ็คเกตหนังแบบนี้แหละ มันมีความสุขได้ล่องลอยไปเรื่อยๆ เราเป็นคนไม่มีแพลนเชื่อว่าการวางแผนที่ดีคือไม่ต้องวางแผน คนขี่มอเตอร์ไซค์คงมีความสุขประมาณเดียวกันนี่แหละ สนุกตรงเวลาขี่แล้วเราเจอมอเตอร์ไซค์อีกกลุ่มที่ไม่ได้รู้จักกัน แต่เราพูดคุยกันขี่ไปด้วยกัน เราชอบขี่คนเดียวเพราะได้คิด เราไม่ได้เป็นไบค์เกอร์ไม่ได้เป็นคนเก่งเรื่องมอเตอร์ไซค์ แต่เป็นคนที่ชอบขี่ อาจจะขี่ซัก 80 เปอร์เซ็นต์รู้เรื่องแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์มาเพื่อให้มันขี่เรา มันต้องเป็นผู้รับใช้เรา คิดแบบนั้นแล้วก็ขี่ไป