จากโลกยานยนต์สู่แวดวงการออกแบบที่อยู่อาศัย MINI รถยนต์สัญชาติอังกฤษ ซึ่งเติบโตมากับ แนวคิด Creative Use of Space ได้พกพาแนวคิดเรื่องการใช้พื้นที่ เล็กๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความแออัดและการขาดแคลนพื้นที่พักอาศัยในเมืองใหญ่ภายใต้โปรเจกท์  MINI LIVING ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2016 โดยโครงการนี้ MINI ได้ร่วมมือกับสถาปนิกท้องถิ่นหลายกลุ่มเพื่อออกแบบ Urban Cabin หรือบ้านหลังเล็กในเมืองใหญ่ ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้าง ที่อยู่อาศัยบนพื้นที่อันจำกัดให้สะท้อนวิถีชีวิตอันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละเมืองได้อย่างสร้างสรรค์ 

LONDON
Designed by Sam Jacob
NEW YORK
Designed by Bureau
LOS ANGELES
Designed by FreelandBuck
BEIJING
Designed by Penda Architect
2017 / LONDON
MINI LIVING พยายามตอบโจทย์ของสังคมเมืองที่นับวันพื้นที่แต่ละตารางนิ้วนั้นมีค่ายิ่งกว่าทอง การกระจุกตัวของผู้คนใน เมืองใหญ่กับพื้นที่ ซึ่งไม่สามารถขยายไปทางไหนได้ดูจะเป็นสมการที่ไม่สมดุลกัน ที่อยู่อาศัยขนาดเล็กจึงดูเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด พื้นที่ 15 ตร.ม. คือบ้านหลังเล็กที่ถูกตั้งชื่อว่า Urban Cabin ซึ่งเป็นโปรเจกท์ที่ MINI LIVING วาดหวังว่า    จะเป็นทางเลือกของที่อยู่อาศัยในอนาคต ‘BIG LIFE SMALL FOOTPRINT’ สโลแกนของ MINI LIVING ที่สะท้อนถึงความเชื่อ ว่าด้วยการออกแบบอันชาญฉลาดจะสามารถสร้างสรรค์            สิ่งพิเศษบนพื้นที่เล็กๆ ได้
ใจกลางของบ้าน Urban Cabin คือห้องครัว โดยสื่อความหมายถึงตลาดซึ่งเป็นศูนย์รวมผู้คน และการสังสรรค์ ตามวิถีชาวลอนดอน Jacob ออกแบบห้องครัวขนาดเล็ก ให้สามารถยืดขยายได้ และในวันที่แดดดีก็ยังสามารถ ดึงออกมานั่งกินข้าวกันนอกบ้านได้อีกด้วย ฟังก์ชั่นยืด ขยายคือหนึ่งในรูปแบบที่ MINI LIVING นำมาใช้ในการ ออกแบบเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยของบ้านขนาดเล็ก

ใครจะคิดว่าในบ้านซึ่งมีพื้นที่เพียง 15 ตร.ม. ยังจะมี ห้องสมุด “ห้องสมุดทำให้เราหวนนึกถึงวัฒนธรรมรักการอ่านของสังคมลอนดอน” Jacob เล่าถึงต้นตอความคิด ที่นำห้องสมุดขนาดย่อมมาใส่ไว้ในบ้านหลังนี้

ถ้ามองจากภายนอก ส่วนที่เป็นห้องสมุดนั้นดูเหมือน เป็นกองหนังสือวางซ้อนกันอยู่ โดยที่ฐานมีลักษณะเหมือน ชั้นดินและหินในผืนดินที่ไล่สูงขึ้นมาเรื่อยๆ จากชั้นหินใน ธรรมชาติสู่ชั้นด้านบนที่ค่อยๆ กลายเป็นสถาปัตยกรรม ของมนุษย์ Jacob อธิบายว่าถ้ามองดีๆ มันจะเหมือนภาพตัดของกรุงลอนดอนจากฐานรากของเมืองที่อยู่ลึกลงไปสู่ ความเป็นเมืองบนพื้นดิน

MINI LIVING ใส่ความสร้างสรรค์ของการออกแบบ ลงในพื้นที่อันจำกัด ทั้งห้องครัวที่สามารถขยายได้ และห้องสมุดขนาดเล็กใน Urban Cabin หลังนี้เป็นการออกแบบแห่งอนาคตที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมอัน เก่าแก่ของท้องถิ่นไปพร้อมๆ กัน
2017 / NEW YORK
ความหลากหลายทางเชื้อชาติ และจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นของ นิวยอร์กทำให้เมือง Big Apple ดูจะไม่ใหญ่โต สมชื่อ MINI ร่วมกับทีมสถาปนิกรุ่นใหม่จากบริษัท Bureau V ออกแบบ Urban Cabin โดยสะท้อน ลักษณะของเมืองที่เติบโตมาจากผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากทุกสารทิศจนเรียกมหานครแห่งนี้ว่า “บ้าน”
สีสันอันหลากหลายจากผนังภายนอกของบ้านทำให้หวนถึงภาพกราฟฟิตี้ที่เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนของ เมืองนิวยอร์ก Bureau V ให้นิยามของนิวยอร์กว่าเป็นเมืองหลวงของผู้อพยพ ‘การเปลี่ยนแปลงทางเดินของชีวิต และการหาที่แห่งใหม่เพื่อจะเรียกมันว่าบ้าน’ คือ แนวคิดที่ MINI LIVING และ Bureau V นำมาตีความกับการ ออกแบบบ้านทดลองหลังเล็กที่เมืองนิวยอร์กนี้

Bureau V ตั้งใจออกแบบให้ภายนอก “Experience Room” เป็นหนามแหลมสีเหลืองจัดจ้านพุ่งออกมาจากผนังบ้าน ดูแล้วรู้สึกถึงความรุนแรง และอันตราย แต่ในทางกลับกันด้านในมีการออกแบบให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย คล้ายรังหนอนสำหรับหลีกหนีความวุ่นวายของมหานครแห่งนี้ นอกจากนั้นยังมีห้องสมุดเล็กๆ จัดวางหนังสืออยู่บนชั้น และบางส่วนก็ผูกไว้ด้วยเชือกหรือปล่อยให้ห้อยลงมาจากเพดานตามแรงโน้มถ่วงอีกด้วย
ด้วยการออกแบบที่สร้างสรรค์จึงทำให้พื้นที่เล็กๆ เพียง 15 ตร.ม. นี้มีทั้ง “Experience Room” ซึ่งสะท้อน สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันผ่านอารมณ์ขัน และ ความสนุก ห้องสมุดเล็กๆ ที่มีหนังสือห้อยลงมาจากเพดานห้องครัวซึ่งมีการใช้วัสดุแปลกประหลาดชวนสงสัย รวมทั้งมุมพักผ่อนบนพื้นที่สีเขียวในรูปแบบของสวนแนวตั้งที่สามารถเปิดขยายออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในบ้านได้อีกด้วย

Urban Cabin ที่นิวยอร์กหลังนี้เต็มไปด้วยความหลาก หลาย ก้าวร้าว อบอุ่น และสนุกสนาน คงไม่ต่างอะไรกับเมืองนิวยอร์กที่ดูภายนอกเหมือนจะรุนแรง และอันตราย แต่เมื่อได้เข้ามาทำความรู้จักมากขึ้นกลับเป็นเมืองที่อบอุ่น และอ้าแขนต้อนรับคนต่างถิ่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกของ มหานครแห่งนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
2018 / LOS ANGELES
นอกจาก MINI LIVING จะมุ่งหมายให้ Urban Cabin เป็นบ้านแนวทดลองสำหรับทางออกของปัญหาการขาดแคลนพื้นที่อยู่อาศัย  ในอนาคตแล้ว MINI LIVING ยังหวัง ให้ Urban Cabin แต่ละหลังสามารถเชื่อมโยงเข้ากันเป็น Global Village ด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกันตาม แนวคิด ‘Creative Use of Space’

ครั้งนี้ MINI ร่วมกับ FreelandBuck ออกแบบ Urban Cabin หลังเล็กที่อยู่บนดาดฟ้าใจกลางเมืองลอสแอนเจลิสในงาน LA Design Festival 2018 Urban Cabin หลังนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ห้องนอน ครัวขนาดเล็ก ห้องน้ำ และมี “Experience Space” ตั้งอยู่กลางบ้านโดยการ ตกแต่งพื้นที่ส่วนนี้มีการใช้แผงกั้นลายกราฟิกแบบ Trompe-L’oeil ที่โดดเด่นด้วยสีฟ้า และชมพู ในขณะที่ ผนังส่วนอื่นๆ ของบ้านใช้ตะแกรงเหล็กเจาะรูเป็นวัสดุหลัก เพื่อให้แสงสามารถลอดเข้ามากระทบที่ผิวของไม้ภายใน บ้านได้ ด้วยวิถีชีวิตของชาวแอลเอที่รักการใช้ชีวิต Outdoor บ้านหลังนี้ได้ถูกออกแบบให้มีความเชื่อมโยงกันของภายใน และภายนอกผนังของห้องนอนสามารถพับเปิดออกให้ผู้ อาศัยสามารถนอนชมดาวนอกบ้านได้ และด้านบนเพดาน ตรงส่วน Experience Space ก็มีสีเขียวของต้นไม้ที่ห้อย ลงมาเพื่อผสานบรรยากาศภายนอก และภายในเข้าด้วยกัน
MINI LIVING ตั้งใจให้ Urban Cabin แต่ละหลังมีความคล้ายคลึงกันในแนวคิด แต่ยังคงไว้ซึ่งความแตกต่าง ของรายละเอียดในแต่ละท้องที่ การตกแต่งภายใน Urban Cabin ใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก และมีวัสดุรองที่หาได้ในท้องถิ่น มาผนวกเข้ากับดีไซน์เพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ โดยเมื่อนำมาตกแต่งรวมกันแล้ว จะเป็นการออกแบบที่มี เฉพาะตัวของ Urban Cabin ในแต่ละเมืองเท่านั้น

และในเดือนเมษายนปี 2019 นี้ MINI LIVING จะเปิดตัว Co-Living Hub ที่เมืองเซ่ียงไฮ้ โปรเจกท์ที่พักอาศัยแบบ ถาวรแห่งแรกของ MINI LIVING ซึ่งโปรเจกท์ Co-LivingHub จะมีทั้งที่พักอาศัย พื้นที่ทำงาน และพื้นที่ส่วนกลาง ที่นี่พื้นที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ออกแบบมา เพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย Co-Living Hub จะเป็นก้าวที่ตื่นเต้นที่จะนำแนวคิดเรื่อง Co-Living และ Global Village ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
2018 / BEIJING
จุดหมายปลายทางล่าสุดของ MINI LIVING คือ ‘กรุงปักกิ่ง’ มหานคร ที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่มาก เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศจีนและ ยังเป็นเมืองที่ความเจริญ กำลังคุกคามวิถีชีวิตความเป็นอยู่อันเก่าแก่ ของผู้คนในเมือง

Sun Dayong สถาปนิกชาวจีน จากบริษัท Penda Architecture ที่ร่วมออกแบบ Urban Cabin หลังนี้ โดยสะท้อนแนวคิดเรื่องเมืองที่ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากผู้คนที่มีจำนวนมากขึ้นจนทำให้วัฒน ธรรมหลายๆ อย่างในเมืองใหญ่ค่อยๆ เลือนหายไป อย่างเช่น “หู่ทง” หรือพื้นที่ส่วนรวมที่เคย พบเห็นได้ตามย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีน แบบดั้งเดิม
MINI LIVING พกพาไอเดียที่จะนำวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของคนในท้องถิ่นมาใช้ในการออกแบบที่ทันสมัย บนพื้นที่อันจำกัด เพื่อที่จะสร้างบ้านที่เชื่อมโยงอดีตมาถึง ปัจจุบันเพื่อก้าวไปสู่อนาคต

Urban Cabin รูปร่างหน้าตาล้ำสมัยตั้งอยู่ด้านหน้า สนามกีฬาแห่ง ชาติปักกิ่งบ้านหลังเล็กนี้โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่สะดุดตา ตรงส่วนกลางของบ้านซึ่งเป็นตัวแทนของหู่ทงมี กระจกสีทองติดอยู่บนหลังคาในมุม และองศาต่างๆ ทำให้ เกิดภาพสะท้อนในมุมมองที่น่าสนใจ Dayong เล่าถึงการ ออกแบบหู่ทงใน Urban Cabin ว่าเขาได้นำหลักการของ กล้องปริทรรศน์เข้ามาใช้ กระจกสีทองสะท้อนสภาพแวดล้อมที่อยู่ รอบๆ ทั้งแสงอาทิตย์ ต้นไม้ หรือแม้กระทั่ง ก้อนเมฆที่ค่อยๆ เคลื่อนตัว ไป ทำให้เกิดภาพเคลื่อนไหว เหมือนกับเป็นภาพศิลปะของธรรมชาติที่ เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา ชิงช้าสีขาวด้านล่างเชื้อเชิญให้ผู้คนที่เข้ามา เยี่ยมชม Urban Cabin ได้นั่งแกว่งไกวมองขึ้นไปยัง ภาพสะท้อนบนกระจกในมุมมองที่หลากหลายของบริเวณ โดยรอบราวกับเป็นการนั่งไกว ชิงช้าย้อนไปสัมผัสวิถีชีวิต ในอดีตที่ซ่อนอยู่ในบ้านแห่งอนาคตหลังนี้

ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของ Urban Cabin หลังนี้ จะดูมีความล้ำ สมัย แต่การผสมผสานของวัสดุต่างๆ ที่ใช้ ภายในบ้านก็ให้ความรู้สึกที่ อบอุ่น และเป็นมิตร ฟังก์ชั่น การใช้งานภายในบ้านหลังนี้ถูกออกแบบ มาให้สามารถ ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ทั้งการดึงขยาย ซ่อน พับ หมุน หรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งตามแต่ความต้องการของผู้อยู่อาศัย อย่างเช่น เตียงที่สามารถดึงขยับออกมาด้านนอกได้ ช่องรูบนกำแพงที่ สร้างความอิสระในการเปลี่ยนตำแหน่ง การห้อยวางสิ่งของ หรือ กำแพงที่สามารถหมุน เพื่อปรับ เปลี่ยน และการจัดสรรพื้นที่ได้ตาม ต้องการ Urban Cabinที่กรุงปักกิ่งถือว่าเป็นบ้านที่ผู้อยู่อาศัย สามารถกำหนด รูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านได้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
MINI LIVING URBAN CABIN BEIJING 2018
ขณะที่พื้นที่มีจำกัด และทรัพยากรก็ลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย คำว่า “พื้นที่” และ “คุณภาพชีวิต” จึงแปรผันไปตามความสามารถในการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ การใช้น้อยแต่ได้มากกลายเป็นแนวทางของอนาคต และคุณภาพชีวิตที่ดีคงไม่ได้มาในรูปแบบของความฟุ่มเฟือยอีกต่อไป ถึงแม้ปัญหาประชากรที่เพิ่มขึ้นดูจะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ถ้ามองในแง่ดีปัญหานี้ก็อาจจะทำให้เราต้องรู้จักแบ่งปัน เปิดพื้นที่ส่วนตัวสู่ส่วนรวม และกลับมาใช้ชีวิตที่เชื่อมโยง กับสถานที่ชุมชนที่เราอยู่อีกครั้ง